๑۩۞۩๑ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บบล๊อกของผมครับ ๑۩۞۩๑

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การจัดงานศพ จากพระไตรปิฎกอรรถกถา

เขายิ่งว่ายิ่งเตือนเหมือนยิ่งยุ เขายิ่งดุยิ่งด่ายิ่งฝ่าฝืน
เขายิ่งห้ามยิ่งอยากใส่ปากกลืน ทีเขายื่นให้กินไม่ยินดี

จากพระไตรปิฎกอรรถกถา เล่ม ๑๓ มหาปทานสูตร ประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เป็น โกญฑัญญโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี เป็น โกญฑัญญโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสภู เป็น โกญฑัญญโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ เป็น กัสสปโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ เป็น กัสสปโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ เป็น กัสสปะโคตร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม เป็น โคตมโคตร

1.คำว่าโกญฑัญญโคตร, กัสสปโคตร, และโคตมโคตร ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มีความหมายว่าอย่างไร?
คำเหล่านี้เป็นเพียงชื่อโคตรตระกูลเท่านั้น ไม่มีความหมายหรือคำแปล

๒. ทำไมเมื่อคนเราตายไปจึงต้องมีพิธีการจัดงานศพ ต้องไปเคารพศพ อะไรคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการจัดงานศพ?
พิธีกรรมในงานศพ พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้ว่าจะต้องทำอย่างไร จะจัดหรือไม่จัดก็ได้ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับผู้ตาย ผู้ตายเมื่อวิญญาณออกจากร่างก็ไปเกิดใหม่ ตามอำนาจของบาป-บุญ ที่ตนได้กระทำไว้ก่อนตาย ผู้อื่นไม่สามารถช่วยอะไรได้
พิธีกรรมต่างๆในงานศพ พวกสัปเหร่อจะแนะนำไปตามความเชื่อและตามความคิดเห็นของตน แต่ละท้องที่ก็ทำแตกต่างกันไป โดยมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของงานศพก็คือ เกียรติยศชื่อเสียงของผู้ตาย ของเจ้าภาพ และหวังเพื่อให้ผู้ตายไปสู่ที่ดีๆ อีกอย่างหนึ่งก็เพื่ออาชีพของสัปเหร่อเอง
ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคาในประเทศอินเดีย ตลอด ๒๔ ชั่วโมงทุกวัน จะไม่ว่างจากควันไฟเผาศพเลย แต่ละศพจะมีญาติเพียง ๑ - ๒ คน ช่วยกันเผา เผาเสร็จแล้วก็เอาเถ้ากระดูกโปรยลงแม่น้ำคงคา โดยมีความเชื่อว่าแม่น้ำคงคาสามารถล้างบาปของผู้ตายได้ ไม่ต้องทำพิธีกรรมใดๆ ขณะเดียวกันก็มีสัปเหร่อที่ไม่ต้องจ้าง คือ คุณแร้ง คุณกา คุณนก คุณหนูทั้งหลาย เฝ้าคอยดูอยู่ใกล้ๆ ถ้าญาติจัดการงานศพไม่หมด หรือศพไม่มีญาติ ก็จะช่วยจัดการให้เรียบร้อย

๓. พิธีศพของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร?
สำหรับพิธีศพของพระพุทธเจ้านั้น พระอานันทะ(พระอานนท์) เคยถามพระองค์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จะจัดการพระศพของพระองค์อย่างไรพระเจ้าข้า" พระองค์ทรงตรัสว่า "อานันทะ.... เธออย่าเดือดร้อนเลย พวกกษัตริย์เขาจะจัดการเอง" พระอานันทะก็ทูลถามว่า "ถ้าพวกกษัตริย์จะจัดการ จะให้จัดการอย่างไร?" พระองค์ทรงตรัสว่า "จงจัดอย่างพระศพของพระเจ้าจักรพรรดิ คือ ห่อพระศพด้วยผ้าใหม่ ซับด้วยสำลีสลับกัน ๕๐๐ ชั้น แล้วอัญเชิญลงในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมัน แล้วปิดด้วยฝาเหล็ก พรมด้วยของหอม เผาบนเชิงตะกอน แล้วนำสรีระธาตุบรรจุในสถูปประดิษฐานไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนใดบูชาด้วยดอกไม้ของหอม หรือกราบไหว้ด้วยจิตอันเลื่อมใสในพระสถูปนั้น จะเป็นประโยชน์ เป็นความสุขตลอดกาลนาน"

๔. ทำไมในงานศพต้องมีการนิมนต์พระภิกษุมาสวดศพ? ทำไมต้องมีการสวดพระอภิธรรม?
การนิมนต์พระภิกษุมาสวดอภิธรรมในงานศพนั้น ชาวบ้านจัดกันไปเอง แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทำบุญทำกุศลกับพระภิกษุ เพราะการเห็นสมณะเป็นมงคล
การสวดอภิธรรมนั้นหวังให้ผู้ตายได้ฟังธรรมขั้นสูง ถ้าผู้ตายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ไม่สนใจในการบุญการกุศล ไม่สนใจในธรรม ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรในการสวด แต่อภิธรรมยังเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าผู้ฟังมีความสนใจฟัง และรู้คำแปล รู้ความหมาย ย่อมเกิดบุญเกิดอานิสงส์จากการฟังนั้น

๕. พิธีศพเท่าที่เห็นมาทำไมเจ้าภาพต้องเลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์ ให้กับแขกที่มาในงาน จะเลี้ยงแต่อาหารกับขนมจะได้หรือไม่?
เจ้าภาพจะเลี้ยงอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่เหล้าเบียร์เป็นสิ่งสมมุติกันว่าดีในสังคมของปุถุชน ถ้าเจ้าภาพไม่เลี้ยงด้วยสิ่งเหล่านี้ เกรงว่าแขกจะติเตียน กลัวจะเสียหน้าซึ่งเจ้าภาพคิดไปเอง ถ้าเจ้าภาพไม่เลี้ยงเหล้าเลี้ยงเบียร์ใครจะทำอะไรได้ บัณฑิตยังสรรเสริญว่าเจ้าภาพเป็นคนดี มีศีลธรรม มีกัลยาณธรรม การเลี้ยงด้วยเหล้าเบียร์ยังเป็นผลเสีย คือ มีค่าใช้จ่ายสูง แขกที่กินเหล้าแล้วมักพูดมาก กินหมดขวดแล้วก็อ้อนออดขออีกไม่จบไม่สิ้น เมื่อเมาแล้วอาจเกิดการทะเลาะวิวาทตีกันในงาน อีกอย่างหนึ่งการทำบุญสงเคราะห์คนขี้เมา คือคนทุศีล ย่อมมีผลน้อย มีอานิสงส์น้อย

6. พิธีศพเท่าทีเห็นมา ทำไมต้องมีการเล่นการพนัน?
การพนันในงานศพนี้เป็น กาฝาก เป็นกติกามืดของสังคมไทย ผู้ไม่เคยจัดงานศพจะไม่รู้ แต่เมื่อใดได้จัดงานศพแล้วจะรู้เองว่า มีแขกผู้ไม่ต้องเชิญ คือพวกนักพนัน บุคคลพวกนี้เขาจะรู้ได้เองว่าบ้านไหนมีงานศพ เขาจะพากันไปอย่างมากมายโดยมิได้นัดหมาย เหมือนเป็นกระบวนการโดยเจ้าหน้าที่ไม่อาจจัดการอะไรได้ เจ้าภาพก็พูดไม่ออก เจ้าภาพจะต้องจำใจต้อนรับขับสู้ บำรุงบำเรอเขาเหล่านั้นด้วยสุรา อาหารต่างๆ และที่หลับที่นอนอย่างดี เสมอด้วยแขกผู้เกียรติที่ได้รับเชิญ พวกนักพนันเหล่านี้มักติดต่อกับเจ้าภาพ ขอเป็นเจ้าภาพจัดการงานศพต่ออีก ๗วันบ้าง ๑๐วันบ้าง ยิ่งนานยิ่งดี โดยยอมจ่ายค่าป่วยการให้ทุกอย่าง ขอให้เล่นการพนันได้เท่านั้น เพราะถ้าไปเล่นที่อื่นที่ไม่ใช่งานศพตำรวจจะจับ เจ้าภาพที่เห็นแก่ได้ก็มีอยู่ นี่คือธุรกิจมืดที่มองเห็นได้แต่แก้ไขไม่ได้ของสังคมไทย! กายนี้หนอไม่นานก็จะต้องนอนทับแผ่นดิน ปราศจากความรู้สึก เหมือนท่อนไม้ ไม่มีประโยชน์

๗. ถ้ามีการทำสถูปเจดีย์เพื่อบรรจุกระดูกไว้ตามวัดจะดีหรือไม่ประการใด?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลผู้ควรบรรจุสถูปเจดีย์มี ๔ บุคคล คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า๑, พระปัจเจกพุทธเจ้า๑, พระอรหันต์สาวก๑,
พระเจ้าจักรพรรดิ๑ บุคคลทั้ง ๔ นี้ เกิดขึ้นมาในโลกเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ชนเหล่าใดยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์"
ส่วนพระภิกษุทั่วไปหรือคนทั่วไป ไม่ควรทำสถูปเจดีย์ เพราะทำให้เปลืองที่ทาง มีบางวัดปล่อยให้มีการสร้างเจดีย์เหล่านี้อย่างใหญ่โตและมากมายจนวัดไม่มีที่จะเดิน เพียงเห็นแก่ผลตอบแทนเล็กน้อยจากเจ้าของเจดีย์ แล้วทางวัดต้องคอยดูแลให้เขาจนชั่วนิรันดร์ ไม่คุ้มกับราคาที่ดินทีมีราคามูลค่าสูงเพิ่มขึ้นทุกวัน แทนที่วัดจะมีที่ทางอันร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม

8. การไปเคารพศพ ไปขอขมาศพ ให้มีการอโหสิกรรมให้กันและกัน ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมก็ดี สามารถอโหสิกรรมเลิกการจองเวรได้หรือไม่?
การเคารพศพ การขอขมาศพ เป็นความดี ถ้าทั้งผู้อยู่และผู้ตายอโหสิกรรม ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน เวรก็ระงับได้ แต่ถ้าฝ่ายใดยังจองเวรอยู่ ฝ่ายนั้นก็ยังต้องทุกข์อยู่

๙. กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม กรรมอย่างใดให้ผลมากกว่ากัน?
ถ้ากายกรรมและวจีกรรม ไม่เกิดจากมโนกรรม ถือว่าไม่มีเจตนา กรรมนั้นย่อมมีผลน้อย แต่ถ้ากรรมใดสืบเนื่องจากมโนกรรม คือมีเจตนา กรรมนั้นย่อมมีผลมาก

๑๐. จากพระวินัยปิฎก เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงไม่บัญญัติพระวินัยหรือสิกขาบท ก่อนที่พระภิกษุจะทำความผิดให้เกิดขึ้น แต่กลับทรงบัญญัติพระวินัยหรือสิกขาบทในภายหลัง?
ถ้าพระพุทธองค์จะทรงบัญญัติพระวินัยไว้ก่อน กุลบุตรกุลธิดาจะพากันคิดว่า พระองค์ทรงห้ามไปเสียหมดจนจะเหยียดแขนเหยียดขาไม่ได้ แล้วไม่กล้ามาบวช พระพุทธองค์จึงรอให้ภิกษุ ภิกษุณี ทำผิดเสียก่อนแล้วจึงบัญญัติสิกขาบท เพื่อให้เหล่าภิกษุสงฆ์เห็นเหตุ เห็นผล เห็นโทษ และเป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมบัญญัติสิกขาบทเมื่อมีเหตุเสียก่อน

๑๑. เพราะเหตุใดสามเณรจึงมีศีลเพียงแค่ ๑๐ ข้อ แต่พระภิกษุกลับมีศีลทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ?
เหตุที่สามเณรถือศีล ๑๐ เพราะสามเณรยังเด็กอยู่ โดยทั่วไปเด็กๆย่อมมีความหวั่นไหวง่าย ความมั่นคงยังมีไม่พอ แต่ศีล ๑๐ หรือศีล ๘ ก็บรรลุอรหันต์ได้เช่นกัน
ส่วนพระภิกษุต้องมีศีล ๒๒๗ ข้อ เพราะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้รู้เดียงสา รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จึงต้องถือศีลอย่างเต็มที่ และเพื่อเป็นความงดงามของหมู่สงฆ์ เพื่อเป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น

๑๒. การบวชเป็นพระภิกษุได้ จะต้องมีอายุเท่าไร และมีข้อยกเว้นอะไรบ้าง?
ผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุต้องมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ และมีกฎเกณฑ์ดังนี้
๑.ได้รับความเห็นชอบจากบิดามารดา บุตรภรรยา หรือผู้ปกครองแล้ว
๒.ไม่มีหนี้สิน
๓.ไม่หนีราชการ
๔.ไม่มีคดีติดตัว
๕.ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
๖.ไม่เป็นปราชิกในการบวชคราวก่อน
๗.มีอวัยวะครบ ๓๒ บริบูรณ์
๘.ไม่เป็นกะเทยหรือคนสองเพศ
๙.ท่องคำขานนาคได้
๑๐.มีเครื่องบริขาร ๘ อย่าง

ความหมายบางอย่าง ที่คนไทยได้สัมผัส แต่ไม่เคยรู้ เพิ่งรู้เหมือนกัน อ่านแล้วจะได้ปลงๆ ชีวิตก็เป็นเช่นชะนี้เองความจริงแล้วปริศนาธรรมเกี่ยวกับเรื่องงานศพนั้นมีอยู่หลายข้อ ซึ่งก็สงสัยอยู่เหมือนกันตั้งแต่เด็กมาแล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยเล่าให้ฟังเลย เหมือนกับว่าเขาให้ทำก็ทำกันไป โง่อยู่ตั้งนาน พอได้มาอ่านหนังสือธรรมลีลาของธรรมสภาแล้วก็ตาสว่างขึ้น มีอีกหลายข้อดังนี้

มัดตราสังข์สามเปราะ
มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก
มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา
มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น

เคาะโลงรับศีล
ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่าอย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอนเมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

สวดอภิธรรม
มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆแล้วเป็นการสวดเพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผลควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวดให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้

บวชหน้าไฟ
มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บและตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณะเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน

การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรม คำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเองจึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

การเวียนซ้าย 3 รอบ
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลส ตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลสเป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย

การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ
เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพานต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม

การแปรรูป
หลังจากเผาแล้วมีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น