กรรม 12 ประเภท
กรรมประเภทที่1 กิจจจตุกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยหน้าที่
1.1 ชนกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่ยังวิบากให้เกิดขึ้น
1.2 อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูกรรมอื่น
1.3 อุปปีฬกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่น
1.4อุปฆาตกกรรม/อุปัจเฉทกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่เข้าไปฆ่าหรือเข้าไปตัดรอนกรรมอื่น
กรรมประเภทที่2 ปากทานปริยายจตุกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยลำดับการให้ผล
2.1 ครุกรรม กรรมหนักซึ่งมีอำนาจให้ผลเป็นอันดับ1
2.2 อาสันนกรรม กรรมที่กระทำในเวลาใกล้จะตาย
2.3 อาจิณณกรรม/พหุลกรรม กรรมที่กระทำบ่อยๆ
2.4 กตัตตากรรม กรรมที่สักแต่ว่ากระทำ
กรรมประเภทที่3 ปากกาลจตกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยกาลเวลาที่ให้ผล
3.1 ทิฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันคือให้ผลในชาตินี้
3.2 อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
3.3 อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติที่3เป็นต้นไป
3.4 อโหสิกรรม กรรมที่สำเร็จเป็นกรรมแล้ว แต่กลายเป็นหมันไป ไม่มีโอกาสให้ผลในตรี
กาล อดีตกาล ปัจจุบันกาล อนาคตกาล
กรรมทีปนี (กรรม 12 อย่าง) โดยท่านเจ้าคุณพระเทพมุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9)
1.กรรมพาให้เกิด (ชนกกรรม)
คนเราที่มาเกิด ก็เนื่องจากกรรมที่ตนเองได้เคยสร้างไว้ในอดีตชาติ บันดาลให้มาเกิดตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมไว้ อันเป็นพลังอำนาจของกรรมที่เรียกว่า “ชนกกรรม” หรือกรรมที่พาให้เกิด เมื่อกรรมบันดาลให้ไปเกิดในครรภ์ ที่ออกลูกเป็นตัว(ชลาพุชะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็จะเกิดเป็นคน
ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น หมี หมา ช้าง ม้า วัว ควาย เป็นต้น
ถ้ากรรมบันดาลให้เกิดในไข่ คือ ออกไข่ เป็นฟอง แล้ว จึงฟักออกเป็นตัว(อัณฑชะ)
ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดี ก็จะเกิดเป็น ครุฑ
ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะเกิดเป็น แร้ง กา นก เป็ด ไก่ เป็นต้น
ถ้าเป็นกรรมบันดาลให้เกิดในไคลที่ชื้นแฉะ สกปรก(สังเสทชะ)
ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีเกิดเป็นเลน ไร ฯลฯ
ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็เกิดเป็นหนอน
ถ้ากรรมบันดาลให้เกิดผุดขึ้น คือ ผุดขึ้นมาและโตเต็มตัวในทันใด แม้เมื่อตายก็ยังไม่ต้องมีเชื้อหรือซากปรากฏ (โอปปาติกะ) ถ้าเป็นกรรมฝ่ายดีก็จะเป็น เทพ เทวดา รวมทั้งมนุษย์บางจำพวก เช่น คนธรรพ์ คนลับแล ฯลฯ ถ้าเป็นกรรมฝ่ายชั่ว ก็จะเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย ยักษ์ ฯลฯ
คนเรานี้เกิดมาเป็นคนเหมือนกันแต่ทว่าไม่เหมือนกันบางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนมีปัญญา บางคนโง่เขลา บางคนกลับเป็นบ้า
บางคนมีอายุสั้น บางคนมีอายุยืน
บางคนมีโรคมาก บางคนมีโรคน้อย
บางคนมีผิวพรรณงาม บางคนมีผิวพรรณทราม
บางคนเกิดในตระกูลสูง บางคนเกิดในตระกูลต่ำ เหล่านี้ล้วนเป็นพลังอำนาจของกรรมทั้งสิ้น คนที่มีอายุสั้นนั้น เป็นคนที่มักสร้างกรรม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นคนเหี้ยมโหด มือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการฆ่า ไม่มีเมตตาเอ็นดูในชีวิตของผู้อื่น คนที่มีอายุยืนนั้น เป็นผู้เว้นจากการฆ่า มีความละอายต่อบาป มีความเมตตา ชอบช่วยเหลือและอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งหลาย คนที่มีโรคมากนั้น เป็นผู้ที่ชอบสร้างกรรม ชอบเบียดเบียนและทำร้ายสัตว์ คนที่มีโรคน้อยนั้น เป็นผู้ที่มีเมตตา ไม่เบียดเบียนสัตว์
ผู้ที่มีพิวพรรณทรามนั้น เป็นคนขี้โกรธ พยาบาทมาดร้าย แค้นเคือง แม้แต่ถูกว่าเล็กๆ น้อยๆ ก็ขัดใจแก้แค้น ผู้ที่มีผิวพรรณงานนั้น เป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยถือสาโทษโกรธเคือง ไม่ผูกเจ็บพยาบาท มองโลกในแง่ดี และให้อภัยใครได้เสมอ คนที่มีอำนาจบารมีน้อย เพราะเป็นคนมีใจริษยา อิจฉาผู้อื่นที่เขาได้ลาภ สักการะ ยศตำแหน่ง ความเคารพนับถือมากกว่าตน คนที่มีอำนาจบารมีมากนั้น เป็นคนที่มักยินดีที่คนอื่นได้ดีกว่าตน ไม่อิจฉาริษยา แต่กลับส่งเสริมและยอมรับในบารมีของผู้อื่น บุคคลที่เป็นคนจน มีโภคทรัพย์น้อย เป็นเพราะไม่ชอบทำทาน ไม่รู้จักให้ เป็นคนเห็นแก่ได้ ชอบลักเล็กขโมยน้อย คอรับชั่น เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น บุคคลที่เป็นเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมากนั้น เป็นเพราะมีความเชื่อ ศรัทธา ให้ทานอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ เป็นคนที่ให้กับให้ ชอบช่วยเหลือสละทรัพย์เพื่อสังคมไม่เอาของคนอื่น ผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำ ก็เพราะเป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง ไม่รู้จักกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับถือบูชาคนที่ควรบูชา คนที่เกิดในตระกูลสูงได้นั้น เพราะว่าเป็นคนอ่อนน้อม ไม่เย่อหยิ่ง ชอบปรนนิบัติคนที่สมควรปฏิบัติ ไหว้บุคคลที่ควรไหว้ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ นับถือบุคคลที่ควรนับถือ บูชาบุคคลที่ควรบูชา สำหรับบุคคลที่มีปัญญามาก ก็เป็นเพราะว่าชอบสนทนากับผู้ที่มีปัญญา ชอบอ่าน ชอบคิด ชอบพิจารณา และใฝ่หาความรู้ การที่เราได้เกิดมาแล้วในชาตินี้ เราไม่อาจเลือกเกิดได้ เพราะกรรมในอดีตชาติ ที่เราได้สร้างสมไว้แล้วนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ในชาติหน้านั้น เราสามารถเลือกเกิดได้ตามใจชอบด้วยการกระทำ หรือสร้างแต่กรรมดีไว้ในชาตินี้ มีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่เข้าใจในพลังอำนาจของกรรม หากเราสามารถทำความเข้าใจให้เกิดขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง เท่ากับเป็นการวางโครงการชีวิตในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เราสามารถจะเลือกเกิดในสภาวะเช่นไรก็ได้ อย่างเช่น หากต้องการเกิดมารวย ในชาติปัจจุบัน ก็หมั่นให้ทาน เป็นประจำ เสียสละทรัพย์ช่วยเหลือสังคมอย่างสม่ำเสมอ อย่าได้เอารัดเอาเปรียบผู้ใด การฉ้อโกง คอรัปชั่น ต้องเว้นขาด หรือหากต้องการเป็นคนที่แข็งแรงและมีอายุยืน ก็อย่าได้ทำร้ายเบียดเบียนและฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้ใด แม้แต่สัตว์เล็กๆ น้อยๆ เช่น มด ยุง แมลงสาป ปลวก กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ และหากต้องการแก้กรรม ที่ทำไว้ในอดีต ก็ให้ช่วยเหลือและปล่อยชีวิตอื่นให้รอดพ้นจากการบาดเจ็บและความตาย ก็สามารถทำได้ “กรรมนั้นมีพลังอำนาจต่ออายุให้ยืนยาวอีกไปได้”
2.กรรมสนับสนุนหรือกรรมอุปถัมภ์ (อุปัตถัมภกรรม)
กรรมที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนกรรมฝ่ายดี ให้เจริญยิ่งขึ้น และกรรมฝ่ายชั่ว ให้ชั่วยิ่งขึ้น เรียกว่า “กรรมสนับสนุน” หรือ “อุปัตถัมภกรรม” ถึงแม้ว่าในชาติปัจจุบันที่เราเกิดมาแล้วนี้ เราจะพลาดพลั้ง เกิดมาในสภาพไม่ดีนัก ไม่น่าพอใจนัก แต่เราก็สามารถเพิ่มเติม ปรับปรุงแก้ไข ให้ดีกว่าเดิมได้ เช่น ถ้าหากเกิดมาจน ก็แก้กรรม ด้วยความขยันขันแข็ง มานะ อดทน แบ่งรายได้ ทำบุญทำทานบ้างเป็นปกตินิสัย อย่าไปคดโกง เอารัดเอาเปรียบใคร ในไม่ช้า ก็สามารถเป็นคนมีทรัพย์ได้ เหมือนอย่างที่เราเห็นคนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัว จากไม่มีอะไรจนมีหลักฐานเป็นปึกแผ่น ซึ่งมีให้เห็นเยอะแยะ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเกิดมารวย แล้วประมาท ไม่สนใจใยดี ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างไม่รู้คุณค่า ไม่รู้จักทำมาหากิน แสวงหาเงินทองมาเพิ่มเติม เอาแต่เทียวเตร่ ดื่มสุรายาเมา คบเพื่อนเที่ยวเกเร ไม่ช้าก็ไม่มีอะไรเหลือ ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นในสังคมมากมาย พลังอำนาจของกรรมที่พาให้เกิด นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ก็ยังมีพลังอำนาจของกรรมอีก 11 อย่างที่มีอิทธิพลบันดาลบชีวิตให้เปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์หรือกรรมสนับสนุน ซึ่งมีทั้ง กรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายไม่ดี บางคนพอเริ่มเข้าท้องแม่ ก็มีพลังบันดาลให้พ่อแม่โชคดีมีลาภ ทำมาค้าขึ้น ทำอะไรก็แลดูดีไปหมด อย่างนี้เรียกว่า พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายดี ให้ผล แต่ถ้าหากว่าเป็นไปในทางตรงกันข้าม กลับทำให้พ่อแม่มีแต่เรื่อง เดือดร้อนมีแต่ปัญหา มีแต่ทุกข์ เป็นลูกล้างผลาญ แล้วละก็นั้นเป็นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ฝ่ายชั่ว ให้ผล หรือหากว่าเกิดมาเป็นเสือก็มี พลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ ฝ่ายชั่ว ให้มีพลังวังชา มีนิสัยดุร้าย ทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากขึ้น เป็นบาปมากขึ้น
ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีผู้หนึ่ง มีชื่อว่า “อานันทเศรษฐี” ถึงแม้ว่าจะเป็นเศรษฐี แต่ก็เป็นคนตระหนี่ขี้เหนียว ทานไม่ไห้ ศีลไม่รักษา หาทรัพย์มาได้เท่าใด ก็เก็บรักษาเอาไว้ โดยไม่ยอมจ่ายอะไรเกินความจำเป็น แม้จะกินก็อดๆ อยากๆ จิตเต็มไปด้วยความโลภอยากได้ และก็ยิ่งโลภจัดขึ้นทุกวัน ที่เกิดเป็นเศรษฐีในชาตินี้ได้ ก็เพราะเคยใส่บาตรพระอรหันต์ ที่มาบิณฑบาตหน้าบ้านในอดีตชาติก่อนโน้น ต่อมาเมื่อเศรษฐีเฒ่าถึงแก่กรรม แต่จิตก็เต็มไปด้วยความหวงและห่วงใยในทรัพย์สมบัติ หน้าดำคร่ำเครียด เพราะฉะนั้น ชนกกรรมอกุศล หรือกรรมพาให้เกิด จึงชักนำไปเกิดในครรภ์ของหญิงจัณฑาลยากจนคนหนึ่ง จากนั้นพลังอำนาจของกรรมอุปภัมภ์ฝ่ายชั่วก็สนับสนุน โดยดลบันดาลให้คนจัณฑาลในหมู่บ้านนั้น ซึ่งอดอยากอยู่แล้ว อดอยากหนักเข้าไปอีก
ในที่สุดคนจัณฑาลทั้งหลาย ก็ได้ประชุมหารือ หาคนที่เป็นกาลกีณีโดยแบ่งเป็น 2 พวก ถ้าพวกไหนขัดสนลาภ ก็แสดงว่า คนกาลกีณีอยู่ในพวกนั้น ก็ให้แบ่งพวกอย่างนี้ จนกว่าจะพบคนที่เป็นกาลกีณี ในที่สุดก็หาพบ หญิงจัณฑาลมีครรภ์ จึงถูกขับไล่ออกจากหมู่ให้ไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว เที่ยวซัดเซพเนจรไปเรื่อยๆ ได้รับความลำบากเป็นหนักหนา ต่อมาได้คลอดบุตร ซึ่งแสนจะน่าเกลียดน่าชัง ยังกับผีเปรตแสนทุเรศไม่เหมือนคน ซึ่งทารกน้อยโตขึ้นจนรู้เดียงสา ก็ได้กะลาเป็นสมบัติ แล้วอำลาแม่เที่ยวขอทานเขาเลี้ยงชีวิต ไปทั่วทุกทิศ
วันหนึ่ง ก็ได้เดินทางมาถึงปราสาทอันมโหฬาร คลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นๆ จึงเดินดุ่มเข้าไป จึงถูกขับไล่ทุบตี แต่ด้วยความรู้สึกในจิตใต้สำนึกว่า ปราสาทนี้ตนเป็นเจ้าของ จึงจะเข้าไปให้ได้ ในที่สุดก็ถูกทุบตีจนบอบช้ำหยุดนิ่ง พอดีขณะนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จผ่านมา ด้วยญาณรู้ พระองค์จึงบอกแก่คนทั้งหลายให้ทราบว่า “ขอทานหน้าผีเปรตนี้ คือเศรษฐีเจ้าของปราสาท กลับชาติมาเกิด เศรษฐีลูกชายไม่เชื่อ พระพุทธองค์จึงให้เศรษฐีในคราบของขอทานเล่าประวัติของตนในชาติก่อน พร้อมทั้งให้ไปชี้ขุมทรัพย์อีก 5 แห่งที่แอบฝังไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ ก็เป็นอันพิสูจน์ได้ เศรษฐีลูกชายจึงเชื่อเรื่อง พลังอำนาจของกรรม ตั้งแต่นั้นมา
ที่จริงเรื่องทำนองเดียวกันนี้ ในยุคปัจจุบัน ก็มีเหมือนกัน เจ้าของห้างใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นคนขี้เหนียว ชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น พอตายไป เกิดมาเป็นขอทาน แล้วมานั่งขอทานอยู่หน้าห้างของตนเอง แต่ลูกหลานซึ่งเป็นเจ้าของห้างในปัจจุบัน คงไม่เชื่อแน่ เพราะไม่มีใครพิสูจน์ให้เห็นจริง เศรษฐีขอทานจึงต้องขอทานต่อไปเรื่อยๆ
เอ่ยชื่อห้างขึ้นมา ต้องร้อง “อ๋อ” กันทั้งเมือง เพราะฉะนั้น บุคคลบางคน ประสบภัยวิบัติ พบกับอุปสรรคขัดข้องในชีวิตเสมอ มีความอาภัพอับโชคตลอดชีวิต แต่บางคน ดูเหมือนจะโชคดีอยู่เสมอ มีความสุขความเจริญในชีวิตทั้งๆ ที่ในชีวิตปัจจุบัน ก็ทำความดี เหมือนๆ คนอื่นนั่นแหละ แต่ก็ประสบโชคโดยไม่คิดฝัน ก่อความแปลกประหลาดใจแก่ตนเป็นอย่างมากอยู่เสมอ เหล่านี้เป็นพลังอำนาจของกรรมอุปถัมภ์ หรือกรรมสนับสนุน จะเป็นกรรม ฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว นั้น ก็แล้วแต่เจ้าตัวได้สร้างไว้
3.กรรมเบียดเบียน (อุปปีฬกกรรม)
กรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นที่ตรงข้ามกับตน ที่กำลังให้ผลไม่ว่าจะเป็นผลดี หรือผลชั่วมิให้เกิดผลอีกต่อไป เรียกว่า “กรรมเบียดเบียน” หรือ “อุปปีฬกกรรม” ซึ่งจะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไปพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน มีอิทธิพลต่อชีวิตมาก ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วอย่างเช่น คนที่สร้างกรรมไว้ดีแล้ว กำลังได้รับสนองผลของกรรมดี ประสบความสุขความเจริญ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภยศ บริวาร หรือที่เคยยากจนกำลังทำท่าจะมั่งมี ที่มั่งมีอยู่แล้วก็กำลังจะรวยใหญ่กลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ให้เผอิญ กรรมเบียดเบียน ตามมาทัน จึงเกิดพลังอำนาจเข้าไปทำหน้าที่เบียดเบียนบั่นทอนชีวิตที่กำลังก้าวหน้านั้น ให้อับเฉาหยุดความก้าวหน้าลง
อดีตกาลนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งมีที่พักอาศัยอยู่ ใกล้ๆ วัดริมแม่น้ำ ในยามเย็นใกล้ค่ำ วันหนึ่ง ขณะอาบน้ำอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้าน ก็พอดีมีสามเณรน้อยน่ารักองค์หนึ่ง พายเรือผ่านมา ชายผู้นี้นึกคะนองขึ้นมาก็แกล้งสามเณร เอามือวักน้ำสาดไปที่สามเณร สามเณรก็หลบด้วยสัญชาตญาณ จึงเป็นเหตุให้เรือล่มทันที สามเณรน้อยตกใจ รีบว่ายน้ำใจคอสั่น ส่วนปากก็ตะโกนด่าว่า ชายคนนั้นก็ยังเกิดความโกรธ จึงเข้าไปตบที่หูของสามเณร 2-3 ที แล้วดึงสามเณรขึ้นมาสู่ริมฝั่งแม่น้ำ จากนั้นกลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ต่อมาอีกไม่นานนัก ชายคนนี้ได้ตายไป ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสังสารเป็นเวลาช้านาน จนในสมัยพุทธกาลนี้ จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีนามว่า “สุนักขัตตลิจฉวี” เมื่อเติบใหญ่เจริญวัยขึ้น ได้มีโอกาสฟังธรรม ก็เกิดความเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา แล้วขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในสำนักของพระพุทธเจ้า โดยตั้งใจที่จะฝึกบำเพ็ญวิปัสสนา เพื่อตัดกิเลส เป็นอริยบุคคลในภายหลัง พระพุทธองค์ได้บอกอุบายวิธีอันถูกต้องเหมาะสมกับจริต ในไม่ช้า พระสุนักขัตตลิจฉวี ก็ได้สำเร็จฌานและบรรลุ ทิพพจักขุอภิญญา โดยเร็วภายในเวลาไม่กี่วัน มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ เหนือวิสัยของคนธรรมดา เช่น มองเห็น เทวโลก และพรหมโลก เป็นต้น ภิกษุใหม่ดีใจนักหนา จึงเข้าไปทูลขออุบายวิธี เพื่อที่จะฝึกวิชา ทิพพโสตอภิญญา หรือ วิชาหูทิพย์ ให้สำเร็จต่อไป พระพุทธองค์ก็ทรงให้ บริกรรมภาวนา แต่ไม่ได้บอก อุบายวิธี เพราะทรงทราบว่า จะมีพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน หรือ อุปปีฬกกรรม มาเบียดเบียน มิให้ได้วิชา หูทิพย์ เพราะกรรมที่เคยได้ ตบหูสามเณร ในอดีตชาติ จะมาฝึกวิชาที่เกี่ยวกับ หู ให้สำเร็จได้อย่างไร พระสุนักขัตติลิจฉวี ได้ฝึก วิชาหูทิพย์ อยู่ 3 ปี ก็หาได้สำเร็จไม่ ก็เกิดความเบื่อหน่าย และคิดผิดว่าพระพุทธเจ้า คงไม่มีวิชาที่วิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว จึงลาสิกขาแล้วไปอยู่สำนักอื่นนอกพระพุทธศาสนา ครั้นตายไปก็ไปเกิดในนรก
เหตุการณ์อย่างนี้ แม้ในปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นอีกมากมาย กับพระสงฆ์นักเปรียญ ที่บวชกันมานานแล้ว แต่เมื่อถูกพลังอำนาจของกรรมนี้ มาเบียดเบียน ก็ต้องสึก หรือลาสิกขา ไปใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ นี่คืออาการของพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนฝ่ายชั่วที่เข้าเบียดเบียนทำร้าย กรรมฝ่ายดีที่มีสภาพตรงข้ามกับตน แต่บางคนกำลังประสบกับความทุกข์ยาก ต้องโทษ ต้องภัย สิ้นสมบัติ ได้รับความเดือนร้อน ที่เคยมั่งมีก็กลายเป็นมีมั่ง ไม่มีมั่ง กำลังย่างก้าวสู่ความยากจน ที่ยากจนอยู่แล้ว ก็กำลังจะยากจนหนักลงไปอีก ชีวิตกำลังประสบมรสุมจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว พลันกรรมเบียดเบียนฝ่ายดี ตามทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจเข้าทำหน้าที่เบียดเบียนบั่นทอนกรรมฝ่ายชั่วที่กำลังครอบงำชีวิตอยู่นั้นให้พลันเสื่อมสลายไปทันที ชะตาชีวิตที่ริบหรี่แทบจะไม่มีแสงสว่าง พลันเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์สว่างสดใส พ้นโทษ พ้นภัยได้
ในสมัยพุทธกาล ยังมีชายคนหนึ่ง มีลักษณะเหี้ยมโหดดุร้าย ผมเผ้าพะรุงพะรังดั่งคนป่า มีขนงอกยาวกว่าคนปกติไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หน้าอก จะมีมากเป็นพิเศษ หนวดเครายาวรุ่มร่าม แต่ก็มีสีแดง จึงได้ชื่อว่า “นายเคราแดง” นายเคราแดง ไม่มีอาชีพแน่นอน มักถูกดูหมิ่นดูแคลนอยู่เสมอ จึงสมัครเป็นโจร แต่หัวหน้าโจรไม่กล้ารับไว้ เพราะดูลักษณะแล้ว มันเหี้ยมโหดเกินไป กลัวจะแว้งกัดในภายหลัง แต่นายเคราแดง ถึงแม้จะผิดหวัง แต่ก็ไม่ละความพยายาม เข้าฝากตัวกับสมุนโจรผู้หนึ่ง คอยปรนนิบัติรับใช้จนเป็นที่ถูกใจ แล้วอ้อนวอนให้ไปฝากตัวกับหน้าหน้าโจรอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าโจรทนความอ้อนวอนไม่ไหว จึงรับไว้อย่างเสียไม่ได้
ต่อมาทางราชการ ได้เข้าไปปราบปรามโจรก๊กนี้ และได้ตัดสินให้ลงโทษประหาร เพราะก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก แต่เนื่องจากโจรก๊กนี้มีมากมายหลายร้อยคน ไม่มีผู้ใดจะทำหน้าที่ประหาร ทางราชการจึงหาคนที่จะเป็นเพชฌฆาต โดยจะยกโทษให้สำหรับคนที่ทำหน้าที่ประหาร แต่ก็ไม่มีใครรับ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นคนประหารเพื่อน ในที่สุด นายเคราแดง ก็รับอาสาอย่างหน้าตาเฉย สมดังลักษณะที่หัวหน้าโจรคาดการณ์เอาไว้ ต่อมานายเคราแดงก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเพชฌฆาต มีเงินเดือนประจำ มีหน้าที่ประหารโจรหลายก๊ก หลายเหล่า ที่ทางราชการจับมาได้ เป็นเวลาช้านาน กำลังวังชาลดน้อยถอยลงไป จึงได้รับการปลดเกษียณ ได้รับบำเหน็จเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร นายเคราแดง ดีใจเป็นหนักหนา จึงคิดเปลี่ยนบุคลิกของตนเอง ด้วยการอาบน้ำอาบท่า โกนหนวด โกนเครา หาเสื้อผ้าใหม่ๆ มาใส่ ประแป้ง ทาน้ำหอม ด้วยอารมณ์แจ่มใส ให้ภรรยาทำอาหารที่อร่อย มาฉลองหน้าบ้านในเช้าวันหนึ่ง
เช้าวันนั้น พระสารีบุตร ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว ก็ตรวจด้วยญาณเพื่อจะโปรดบุคคลที่เข้ามาอยู่ในข่ายญาณ ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็น นายเคราแดง ขณะที่นายเคราแดง กำลังรับประทานอาหาร พลันก็เหลือบเห็น พระสารีบุตรมาบิณฑบาต ณ หน้าบ้านตน จึงเกิดความคิดว่า “เราได้ทำบาป ทำกรรม ฆ่าโจร ฆ่ามนุษย์ไว้มาก ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำบุญ ทำกุศลเลยแม้แต่ครั้งเดียว วันนี้นับว่าเป็นวันที่เราโชคดีหนักหนา เราควรถวายอาหารบิณฑบาต ดีกว่าจะบริโภคเสียเอง”
เมื่อพระสารีบุตรได้ฉันอาหารเสร็จแล้ว ก็มอบข้าวก้นบาตรที่เลิศรสให้แด่ นายเคราแดง รับประทานจนอิ่มหนำสำราญ จากนั้นก็แสดงโปรดธรรม แต่นายเคราแดงไม่อาจส่งจิตไปตามกระแสแห่งธรรมได้ พระสารีบุตรจึงได้แนะอุบายวิธี จนนายเคราแดง เกิดปัญญาใกล้ พระโสดาปัตติมรรค เป็นอุบาสก ในพระพุทธศาสนา ต่อมานางยักขิณี ซึ่งมีเวรผูกพันกันแต่ชาติปางก่อน ได้เนรมิตตนเป็นแม่โคบ้า วิ่งโลดแล่นไล่ชน นายเคราแดง หรือนายวาตะกาลกะจนถึงแก่ความตาย แล้วนายเคราแดง ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ สรวงสวรรค์ชั้นดุสิต นี่แหละเป็น พลังอำนาจของกรรมเบียดเบียนฝ่ายดี ที่เข้ามา ทำลายเบียดเบียนกรรมฝ่ายชั่ว ที่มีสภาพตรงกันข้ามกับตน ทำให้นายเคราแดง ซึ่งฆ่าชีวิตมนุษย์มาตลอดชีวิต ซึ่งจะต้องตกนรกเป็นที่ไป แต่กลับกลายไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้า.
4.กรรมตัดรอน (อุปฆาตกกรรมหรืออุปเฉทกกรรม)
กรรมใดที่ทำหน้าที่ฆ่ากรรมอื่นให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาด เรียกว่า “กรรมตัดรอน” หรือ “อุปฆาตกกรรม” พลังอำนาจของ กรรมตัดรอน ก็มีสองอย่างเช่นเดียวกัน คือกรรมฝ่ายดี และกรรมฝ่ายชั่ว มีหน้าที่ตัดกรรมฝ่ายตรงข้ามกับตนให้สิ้นสุดลงอย่างเด็ดขาดซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าพลังอำนาจของกรรมเบียดเบียน อย่างเช่น บุคคลที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือ เป็นที่นับถือแห่งมหาชนทั้งปวง แต่ครั้งกรรมตัดรอนฝ่ายชั่วตามมาทัน ก็จะเกิดพลังอำนาจ ให้เกิดภัยพิบัติอันตรายต่างๆ ยับเยิน ดังถูกพะเนินทุบตีถึงความพินาศในชั่วพริบตา หรือล้มตายหมดอายุ ในชั่วครูเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่น่าจะตายเลย อย่างภาวะเศรษฐกิจ IMF ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรานั้น ใช่ว่าจู่ๆ จะเกิดขึ้นเอง ต้องมีเหตุมีปัจจัย การโกง การคอรัปชั่น ในวงการทุกวงการของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการเมือง วงการธนาคาร และวงการเศรษฐกิจ เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล พลังอำนาจของมันจึงทำให้เศรษฐีกลายเป็นยาจกกันระเนระนาดเงินหมื่นล้าน แสนล้านหายแวบไปในชั่วพริบตา ประชาชนทั่วไปเดือนร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า อันเป็นผลจาก กรรมรวม หรือกรรมร่วม ของคนทั้งประเทศที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการเงินไว้ พระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ มีพระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางเวทหขันธเทวี เมื่อทรงพระครรภ์ มีพระอาการแพ้ท้องอยากดื่มโลหิตพระเจ้าพิมพิสาร แต่ก็ทรงเกรงกลัวและละอายพระทัยจึงสู้อดกลั้น จนพระวรกายซูบผอม พระเจ้าพิมพิสาร ทรงแปลกพระทัย จึงตรัสถามอยู่เนืองๆ จนรู้ความ จึงได้สละโลหิตประทานให้ พระอาการแพ้ท้องจึงระงับลง
ฝ่ายโหราจารย์ก็ได้ทำนายว่า “พระราชโอรสองค์นี้ จักเป็นศัตรูกับพระราชบิดา” พระราชโอรส จึงได้พระนามว่า“เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร”ซึ่งแปลว่า “ยังไม่ประสูติก็เป็นศัตรูกับพระบิดาเสียแล้ว” พระมเหสีทรงเสียพระทัย จึงพยายามให้นวดเฟ้นทำแท้ง แต่พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งตั้งอยู่ในภมิโสดาบันอริยบุคคลขั้นแรก ก็ได้ทัดทานไม่ให้กระทำบาปลงไป ครั้นพระราชโอรสประสูติ พระราชาธิบดี ก็ทรงเมตตารักใคร่เป็นอย่างมาก ทรงเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี จนพระราชกุมารเข้าสู่วัยรุ่น
ในกาลนั้น พระเทวทัต ซึ่งมีเชื้อสายกษัตริย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา อุตสาหะบำเพ็ญธรรม จนสำเร็จฤทธิ์แห่งปุถุชน ยังไม่บรรลุมรรคผลข้างต้น คราวหนึ่งได้ตามเสด็จไปยังนครโกสัมพี ซึ่งในคราวนั้น ได้เกิดลาภสักการะแก่หมู่สงฆ์เป็นจำนวนมาก ประชาชนไม่ว่าจะเป็นเศรษฐี พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และชาวบ้านธรรมดา ต่างก็มุ่งถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ตนเลื่อมใสแต่จะหาคนที่เลื่อมใสใน พระเทวทัต นั้นมีน้อยมาก เนื่องด้วยเป็นปุถุชนอยู่ ถึงแม้จะมีฤทธิ์เดชก็ตาม จึงบังเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา ไม่อาจบำเพ็ญให้ก้าวหน้าต่อไปอีก แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ฤทธิ์จะเสื่อมไป ในที่สุด พระเทวทัต ก็ได้แสดงฤทธิ์ปรากฏให้ พระเจ้าอชาตศัตรูกุมาร เห็นเป็นกุมารน้อยที่มีอสรพิษ 7 ตัว พันอยู่ที่มือและเท้า 4 ตัว ที่คอ 1 ตัว เป็นสร้อยสังวาลย์ 1 ตัว และแผ่พังพานอยู่บนศีรษะอีก 1 ตัว แล้วก็เหาะทะยานขึ้นไปบนอากาศเวหาหาว จนเป็นที่อัศจรรย์ใจ
นับแต่นั้นมา เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร ก็นับถือเลื่อมใส พระเทวทัตเป็นอาจารย์ อุปัฏฐากด้วยสิ่งของจตุปัจจัยอย่างล้นเหลือ ต่อมาพระเทวทัต คิดจะปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า จึงเข้าไปทูลขอแต่ได้รับการปฏิเสธ จึงคิดหาอำนาจทางการเมือง เป็นฐานสนับสนุน โดยได้ไปยุยง เจ้าชายอชาตศัตรูกุมาร ให้ไปลอบปลงพระชนม์พระบิดา เพื่อยึดอำนาจราชสมบัติ เพราะการที่จะคอยสืบทอดพระราชสมบัตินั้น ไม่แน่นักเพราะอาจสิ้นอายุก่อนพระราชบิดาก็เป็นได้ ด้วยทรงพระเยาว์จึงหลงผิด แต่ก็ถูกจับได้ ถึงกระนั้น ด้วยการที่เป็นโสดาบันบุคคล พระเจ้าพิมพิสาร ก็ได้พระราชทานสมบัติให้ พระเทวทัต กลัวว่า พระเจ้าพิมพิสาร จะเปลี่ยนใจในภายหลังจึงได้ยุยงฆ่าด้วยการให้จับขัง ให้อดข้าว อดน้ำ แต่พระเจ้าพิมพิสาร ก็ยังไม่สวรรคต เพราะมเหสีได้ทรงจัดอาหารเข้าไปถวาย ด้วยการคลุมด้วยพระภูษาบ้าง ซ่อนไว้ในฉลองพระบาทบ้าง แม้กระทั่งเอาอาหารบดขยำทาพระวรกายบ้าง ในที่สุดพระมเหสี ก็ถูกห้ามเข้าเยี่ยม พระเจ้าพิมพิสาร ยังทรงปีติด้วยการเดินจงกรม แต่ก็ถูกพระเจ้าอชาตศัตรู สั่งให้กรีดฝ่าพระบาททั้งสองข้าง จนเสด็จสวรรคต สู่จาตุมหาราชิกาแดนสวรรค์ พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้มีบาปหนัก เมื่อได้ทรงปิตุฆาตพระราชบิดาแล้ว ก็หาได้มีความสุขไม่ บาปหนักได้ปรากฏขึ้นในพระทัยอยู่เนืองๆ เมื่อสิ้นพระเทวทัต ที่ถูกธรณีสูบไป แล้ว ได้มีโอกาสฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ จึงเกิดความเลื่อมใส และสำนึกในบาปกรรมหนักที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้ จึงทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก
การสังคายนาพระธรรมวินัย ภายหลังที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว โดยมีพระกัสสปเถระเป็นประธาน ก็ได้อาศัยพระองค์นี่แหละ เป็นผู้พระราชทานทรัพย์ทั้งปวง ถึงแม้ว่า พระเจ้าอาชาตศัตรู ได้ทรงสร้างบุญกุศลใหญ่หลวงขนาดไหน แต่อุปฆาตกรรมฝ่ายอกุศล ที่พระองค์ให้ทรงฆ่าพระบิดา ตามคำยุยงของพระเทวทัตเข้าทำหน้าที่ตัดกุศลกรรมดีทั้งปวงของพระองค์ฉุดคร่าให้เป็นสัตว์นรก ลงสู่โลหกุมพีนรก เป็นเวลา 60,000 ปี ในทางตรงกันข้าม คนที่ยากจนอยู่แท้ กรรมตัดรอนฝ่ายดี ตามมาทัน ก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาอย่างพรวดพราด เช่น ถูกหวย 60 ล้าน หรือได้มรดก 100 ล้าน อย่างไม่รู้ตัวอย่างนี้ หรือบางคนทำบาปไว้มากมาย แต่สามารถสำเร็จอรหันตผลได้ เช่น องคุลีมาล เป็นต้น
5.กรรมหนัก (ครุกกรรม)
กรรมหนัก หรือครุกกรรม เป็นกรรมที่พลังอำนาจมากให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ และไม่มีกรรมใดมาขวางกั้นได้ มีพลังแรงอย่างทันตาเห็นในชาติปัจจุบันและสามารถส่งผลถึงชาติหน้าได้ ในส่วนชั่ว หรือบาปหนัก นั้น เรียกว่า อนันตริยกรรม ซึ่งมีอยู่ห้าประการด้วยกัน คือ
1. สังฆเภท คือการที่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งหรือหลายรูป ได้กระทำการทำให้คณะสงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปมีความเห็นผิดตามคำยุยงแห่งตนไปกระทำสังฆกรรมต่างหาก ไปสวดพระปาติโมกข์ต่างหาก ผู้ทำสังฆเภทได้นั้น หมายเฉพาะ พระสงฆ์ เท่านั้น แต่ถ้าผู้กระทำเป็นสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธทั่วไป หรือคนภายนอกพุทธศาสนา นักปราชญ์ ขี้เหล้าเมายา ทิดบาเรียนทั้งหลาย ไม่จัดอยู่ในบาปหนัก ในข้ออนันตริยกรรมนี้ แต่บาปหนักนั้นก็เสมออนันตริยกรรม ในบรรดาอนันตริยกรรมนี้ สังฆเภทเป็นกรรมที่หนักที่สุด ให้ผลก่อนอนัตริยกรรม ประเภทอื่น และสิ้นสุดลงในชาติหน้าเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากได้ทำ อนันตริยกรรม ไว้หลายอย่าง ก็จะได้รับผลของ สังฆเภท อันเป็นกระทงที่หนักที่สุด และอนันตริยกรรมประเภทอื่นก็จะกลายเป็นอโหสิกรรม เมื่อสิ้นวาระของชาติหน้า
2. โลหิตปาท คือ การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนเกิดอาการห้อเลือดขึ้นไป ในสมัยพุทธกาล พระเทวทัต ได้เป็นผู้กระทำ อนันตริยกรรมข้อ โลหิตปาท นี้จนถูกธรณีสูบตกนรกอเวจีไป ในสมัยปัจจุบัน ก็มีบาปหนักเสมออนันตริยกรรม แต่ไม่ใช่อนันตริยกรรม กล่าวคือผู้มีเจตนาชั่วร้ายใฝ่หากรรมอันเป็นบาปหยาบช้า ทำลายล้างวัตถุที่พระพุทธเจ้า เช่น ทำลายพระพุทธรูป ทำลายเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำลายต้นไม้มหาโพธิ์ นี่เองที่คนโบราณจึงไม่กล้าทำลายพระพุทธรูป หรือพระเครื่องถึงแม้ว่าจะแตกหักแล้วก็ตาม แต่ผู้มีบาปมากไม่กลัว สามารถตัดเศียรพระพุทธรูปได้ อย่างที่อยุธยา หรือทำลายทุบตัดแขนขา หรืออย่างที่พม่าเผาผลาญ พระพุทธรูปและเจดีย์เพื่อจะเอาทองคำ ในคราวสมัยอยุธยาแตก
3. อรหันตฆาต หรือ การฆ่าพระอรหันต์ บุคคลผู้ใดมีเจตนาชั่วร้าย ฆ่าพระอรหันต์ ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ฆาตทั้งนั้นคฤหัสถ์ที่บรรลุธรรมวิเศษ เป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ทันได้บวชเป็นพระสงฆ์ ผู้ใดฆ่าก็เป็นอนันตริยกรรม และถึงแม้ขณะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านถูกทำร้ายด้วยอาวุธหรือยาพิษในน้ำดื่มหรืออาหาร เกิดทุกขเวทนา แล้วท่านได้กำหนดเอาทุกขเวทนามาเป็นบาทแห่งวิปัสสนา จนเกิดมรรคผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วดับผลสู่นิพพาน ผู้ทำร้ายย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ฆ่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ถึงแม้จะไม่ได้ชื่อว่า เป็นอรหันตฆาต แต่ก็มีบาปหนักเสมอ อนันตริยกรรม
4. มาตุฆาต คือ การฆ่าแม่บังเกิดเกล้า เท่านั้น แม่เลี้ยง แม่บุญธรรม แม่ยาย ไม่เข้าข่ายเป็นมาตุฆาต และต้องเป็นการฆ่าของลูกมนุษย์ต่อแม่มนุษย์เท่านั้น การที่สัตว์เดรัจฉานฆ่าพ่อแม่ของตนนั้นไม่จัดเป็นอนันตริยกรรม การฆ่าแม่นั้นถึงแม้ว่าจะสำคัญผิดหรือไม่รู้ก็จัดเป็นอนันตริยกรรม
5. ปิตุมาต หรือการฆ่าพ่อบังเกิดเกล้า นัยเดียวกันกับ มาตุฆาต แต่ต่างกันตรงที่กรรมหนักใดจะเป็นผู้ให้ผลก่อน ธรรมดาแม่เป็นผู้อุ้มท้องลูกในครรภ์ และมีใจอ่อนโยนเอื้อเอ็นดูอุ้มชูเลี้ยงลูก ได้รับความลำบากมากกว่าพ่อ ถึงจะชั่วช้าเลวทรามขนาดไหน ก็ยังได้ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณแก่ลูกมากอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้า แม่กับพ่อ เป็นคนดีมีศีลธรรมเสมอกัน มาตุฆาต ย่อมให้ผลก่อนปิตุฆาต ยกเว้นในกรณีที่พ่อ เป็นผู้มีคุณธรรม มีศีลธรรมมากกว่า แม่ เท่านั้น ปิตุฆาต จึงจะให้ผลก่อนมาตุฆาต
อนันตริยกรรม มีพลังโทษมาก เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว และภายหลังรู้สึกสำนึกตนหวังให้พ้นทุกข์โทษในอเวจีมหานรก ด้วยการสร้างกุศลบุญใหญ่ ก็ไม่มีพลังอำนาจพอ ถึงแม้ว่าจะสร้างเจดีย์ทองคำสูงใหญ่ มากมายเต็มจักรวาล หรือจะถวายทานแก่พระสงฆ์ที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้ หรือโชคดีพบพระพุมธเจ้าแล้วเข้าอุปฏฐากใกล้ชิดจนสิ้นชีพ ก็ไม่มีพลังอำนาจพอที่จะลบล้าง อนันตริยกรรม ทั้งห้านี้ได้
สำหรับครุกรรมส่วนดีนั้น เรียกว่าบุญหนัก ได้แก่ การบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนถึงระดับ ปฐมฌาน จนถึง จตุตถฌาน ซึ่งเป็นรูปฌาน และบำเพ็ญอรูปฌาน จนถึงระดับ อากาสานัญจายตนะ (เพ่งอากาศ) วิญญาณัญจายตนะ (เพ่งวิญญาณ) อากิญจัญญายตนะ (เพ่งความว่าง) เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เพ่งความหลุดมิหลุดแหล่) ตามลำดับ ซึ่งพลังอำนาจของการบำเพ็ญฌานที่สูงกว่า ย่อมให้ผลก่อน แต่การสำเร็จอรหันต์ ย่อมเหนือกว่า
6.กรรมใกล้ตาย (อาสันนกรรม)
กรรมใกล้ตาย เรียกว่า อาสันนกรรม ได้แก่กรรมที่กระทำก่อนใกล้จะตาย หรือการระลึกถึงกรรมที่เคยกระทำไว้ในเวลาที่ใกล้จะตาย ซึ่งมีทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว กรรมใกล้ตายนี้มีพลังอำนาจเป็นที่ 2 รองจาก กรรมหนัก (ครุกรรม) คนบางคนเอาแต่โมโหโกรธาเป็นที่ตั้ง ทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น ทั้งชกต่อยเตะถีบด้วยหมายฆ่าฟันผู้อื่นด้วยฤทธิ์โทโสแต่ฝีมือสู้เขาไม่ได้ จึงถูกฆ่าเป็นผีตายโหง ขณะกำลังโมโหโกรธาอยู่ทีเดียว อย่างนี้เป็น กรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว ย่อมไปสู่ ทุคติ บางคนกำลังประกอบมิจฉาชีพอยู่ จะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือปล้นทรัพย์ ลักทรัพย์ ก็ดี แล้วถูกเจ้าทรัพย์หรือตำรวจยิงตาย ก็เป็นกรรมใกล้ตายฝ่ายชั่ว เช่นเดียวกัน และไปสู่ ทุคติ อย่างแน่นอน หรือบางคนตอนใกล้จะตาย ใจมัวแต่คิดห่วงสมบัติ ห่วงคนโน้น คนนี้ ด้วยกังวลและหงุดหงิด แถมยังโมโหอีกด้วย เหล่านี้ เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายชั่ว มีทุคติเป็นที่ไป ทุคติคือ ภพของ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก บางคนเป็นคนดี ใฝ่กุศลอยู่เสมอ แต่เคยได้กระทำความไม่ดีไว้ในอดีตแล้วก็ลืมไปสิ้น ครั้งก่อนใกล้ตาย จิตพลันไปนึกถึงความไม่ดีนั้นจนจิตใจเศร้าสร้อย จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต ก็เป็น กรรมก่อนตายฝ่ายชั่วเหมือนกัน มีพลังอำนาจพาไปสู่สุคติ ทันทีบุคคลที่กระทำความดีอย่างสม่ำเสมอ และก่อนตายจิตก็ระลึกถึงความดีที่กระทำมาได้ กรรมก่อนตาย อย่างดี เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี มีสุคติเป็นที่ บางคนตั้งแต่เกิดมาไม่ค่อยสนใจในบุญกุศล แต่ภายหลังเกิดศรัทธาคิดสร้างบุญใหญ่ เช่น ทอดกฐินทอดผ้าป่า สร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างศาลา พิมพ์หนังสือธรรมะ รักษาศีล เจริญวิปัสสนา จิตเพลิดเพลินอยู่ในบุญกุศลเหล่านี้ โดยที่จะสร้างเสร็จแล้วหรือยังไม่เสร็จก็ตามจนถึงวาระสุดท้าย เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี มีสุคติเป็นที่ไป หรือแม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย รู้ว่าตัวเองไม่รอดแล้วเกิดใจคอไม่ดี เพราะขณะยังแข็งแรงอยู่เย็นเป็นสุขอยู่นั้นไม่เคยสนใจสร้างบุญกุศลเลย จึงคิดอยากทำบุญขึ้นมาทันใด โดยให้ไปนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อถวายทานบ้าง รักษาศีลบ้าง ฟังธรรมบ้าง ฝึกสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ค่อยได้ทำบุญสักเท่าไร แต่ก็เคยได้ทำบุญไว้บ้างนานแล้ว ลืมไปแล้ว แต่ว่าตอนใกล้ตายกลับระลึกถึงคุณงามความดีนั้นได้ ทำให้จิตใจชุ่มชื่น เหล่านี้ เป็นกรรมก่อนตายฝ่ายดี สามารถไปสู่สุคติได้ สุคติ ก็คือ ภพ มนุษย์ สวรรค์ พรหม นิพพาน
7.กรรมที่ทำเป็นประจำ (อาจิณณกรรม)
กรรมที่กระทำบ่อยๆ หรือกระทำเป็นประจำเรียกว่า อาจิณณกรรม หรือพหุลกรรม ซึ่งมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว และแม้แต่การกระทำซึ่งถึงแม้จะกระทำเพียงครั้งเดียว แต่การกระทำนั้นกินใจหรือประทับใจอย่างรุนแรง จึงทำให้ต้องนึกถึงอยู่บ่อยๆ และเมื่อนึกถึงก็ประหนึ่งเหมือนพึ่งกระทำลงไป อย่างนี้ก็เป็น อาจิณณกรรม เหมือนกัน คนมีใจบาปหยาบช้า กระทำความไม่ดีต่างๆ ด้วยกายบ้าง วาจาบ้าง ด้วยใจบ้าง แล้วตั้งหน้าตั้งตากระทำความไม่ดีนั้นอยู่เสมอ เช่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่เป็นประจำ ทำร้ายและเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เป็นประจำ พูดโกหกพกลม ด่าว่า พูดให้ร้ายผู้อื่นอยู่เป็นประจำ คิดพยาบาท อิจฉาริษยา โลภมากอยู่เป็นประจำ ทำให้กลายเป็นคนสันดานเสีย พอกพูนความไม่ดีไว้มากมาย วันไหนถ้าไม่ได้กระทำกรรมอันชั่วช้าแล้วรู้สึกไม่สบายใจ กรรมชั่วที่พอกพูนไว้เสมอเหล่านี้ เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว หรือผู้ที่กระทำความชั่วร้ายแรง โดยเมื่อแรกคิดว่าจะทำก็ทำด้วยความโกรธอย่างรุนแรง แล้วทำร้ายฆ่าฟันด้วยกำลังความแค้น กำลังความโกรธ และขนาดกระทำจนสมใจแล้วก็ยังไม่สิ้นโกรธสิ้นแค้น เวลาเลยไปนานแสนนานเพียงใรก็ยังไม่หายแค้น คิดขึ้นมาเมื่อไรก็ให้แค้นเมื่อนั้น ไม่หายโกรธ ไม่หายแค้น แล้วจิตก็มักคิดย้อนถึงการกระทำนี้อยู่บ่อยๆ ด้วยความคลั่งแค้นใจ นับว่าเป็นสิ่งกินใจที่ทำให้ขัดแค้นไม่รู้หมดรู้สิ้น อย่างที่เป็นข่าวโด่งดังในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่เยอะแยะ อย่างเช่นผู้ที่ชอบ กระแนะกระแหน ด่าว่าผู้อื่น ไม่มีใครดีในสายตาท่าน ยกเว้นตัวท่าน และคนที่เห็นด้วยกับท่าน คนที่มีใจเป็นบุญกุศล มักชอบทำความดี ทั้งกาย วาจา และใจ ชอบทำบุญสุนทาน ใส่บาตรพระทุกวัน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อรับศีล 5 แล้วก็ตั้งใจรักษาศีลไว้ไม่ให้ขาดหรือด่างพร้อยวันพระวันโกนก็ตั้งใจรับศีล 8 แล้วก็รักษาให้บริสุทธิ์ด้วยดีเมื่อเป็นชี เป็นพระสงฆ์ เป็นสามเณรก็พยายามรักษาศีลของตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอไม่ให้ขาด อีกทั้งหมั่นประกอบการกุศลในการเจริญภาวนาฝึกสมาธิ และเจริญวิปัสสนา บำเพ็ญปฏิบัติไปตามความสามารถแห่งตน ตั้งหน้า ตั้งตาสร้างกุศลผลบุญอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่างเว้น กรรมดีที่พยายามสร้างพอกพูนไว้ในสันดานของตนอยู่เรื่อยๆ เหล่านี้เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายดี หรือกรรมที่ทำเป็นประจำฝ่ายดี สำหรับผู้ที่กระทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วอยู่เป็นประจำ หรือเป็นคนดีแต่เคยทำชั่วไว้อย่างหนึ่งจนไม่อาจลืมได้ เป็นสิ่งที่ฝังใจอยู่ตลอดเวลา คิดขึ้นมาก็เศร้าหมองใจทุกครั้งไป หรือเป็นคนชั่วแต่ก็เคยได้ทำบุญกุศลด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า ประทับใจมิรู้ลืม เมื่อจะไปเกิดใหม่ก็ขึ้นอยู่กับแรงของอาจิณณกรรมของทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วขณะใกล้ตายจะชักนำไปทางไหนถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายดี มีกำลังแรงกล้ามากกว่า ก็จะไปสุคติ ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายชั่ว มีกำลังแรงกว่า ก็จะไปทุคติ
ยกตัวอย่างเช่น พระราชาที่ต้องรบทัพจับศึก ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งทรัพย์สินและผู้คนก็ปล้นชิง ทำให้เกิดความลำบากความทุกข์แก่ฝ่ายตนและฝ่ายตรงข้ามมากมาย แต่ขณะเดียวกันก็ทรงใฝ่ใจการกุศล ทำนุบำรุงช่วยเหลือประชาชน สมณะชีพราหมณ์อยู่เป็นประจำหรือพระราชินีที่เป็นผู้มีเมตตา ทำบุญทำกุศลอยู่เสมอ แต่ต้องส่งเสริมอาชีพให้ชาวประชาปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งทำให้ชีวิตของตัวไหมต้องสูญสิ้นไป อย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่ว่า อาจิณณกรรมฝ่ายไหนจะแรงกว่ากัน ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายดีมีพลังอำนาจแรงกว่า ก็ได้ไปสุคติ แต่ถ้าอาจิณณกรรมฝ่ายชั่วมีพลังแรงกว่าก็ได้ไปสู่ทุคติ
8.กรรมที่สักแต่ว่าทำหรือกรรมไม่เจตนา (กตัตตากรรม)
กรรมที่สักแต่ว่าทำ โดยผู้กระทำไม่มีเจตนา ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างเต็มที่ คล้ายกับว่า ไม่เต็มใจทำ เรียกว่า กรรมไม่เจตนา หรือ กตัตตกรรม เด็กทารกนั้น ยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ย่อมทำอะไรโดยไม่มีเจตนา หรือมีเจตนาอ่อน เมื่อมารดาอุ้มไว้บนตัก ก็แตะถีบหยิกข่วนมารดาไปตามประสาทารก อย่างนี้เป็น กรรมไม่เจตนาฝ่ายชั่ว และก็ต้องย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น ชายผู้หนึ่งมีอาชีพทำนา วันหนึ่งชาวบ้านชาวเมืองได้พากันไปทำบุญ และทำการสักการบูชาแด่พระพุทธเจ้า และได้ชักชวนชาวนาผู้นี้ด้วย แต่ชาวนาผู้นี้กลับมีความเห็นผิด มองเห็นว่า การไปทำบุญนั้นเป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน เสียเวลาไถนา แต่เมื่อถูกชักชวนหว่านล้อม มากๆ ก็เลยพูดประชดออกไป โดยไม่มีเจตนาดูถูกดูหมิ่นพระพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าดีจริง แต่เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าท่านสามารถมาจับหางไถ ไถนาได้อย่างเราเมื่อไรนั่นแหละ จึงจะไปทำบุญด้วย” เหมือนกับยุคปัจจุบัน ที่มีผู้มาบอกบุญบ่อยๆ ด้วยความไม่อยากทำบุญ ก็จะพูดประชดประชัน และบางทีก็พาลหาเรื่อง กลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปเลยก็มี
สำหรับตัวอย่างก็มีเช่น ได้มีผู้ศรัทธาสร้างผ้าคลุมเจดีย์ไว้อย่างสวยงาม พร้อมกับจารึกตัวอักษรไว้อย่างชัดเจน “อุทิศถวายพระเจดีย์” ต่อมาได้มีพายุฝน หอบเอาผ้าผืนนี้ ไปตกบนที่นาแปลงหนึ่ง ครั้นเจ้าของนามาเห็นเข้า แทนที่จะนำไปคืนพระเจดีย์ กลับนำมาทำเป็นผ้าห่มด้วยถือสิทธิ์ว่าสมบัติสวรรค์ โดยไม่ได้มีเจตนาไปลักขโมยมา แต่ก็เป็น กตัตตากรรมฝ่ายชั่ว เศรษฐีผู้หนึ่ง เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ยอมบริจาคทาน หรือสละทรัพย์ให้แก่ใคร และแม้แต่ตัวเองก็ไม่ยอมใช้จ่ายทรัพย์หากไม่จำเป็น จริงๆ อาหารที่บริโภคก็เป็นอาหารเลวๆ เสื้อผ้าที่ใช้ก็ปอนๆ ขาดกระรุ่งกระริ่ง รถราก็ใช้แต่รถเก่าๆ เมื่อมีเพื่อนเตือนให้รู้จักทำบุญสุนทานเสียบ้าง ก็จะบอกว่า “ขี้เหนียว ไม่ผิดกฎหมาย” ครั้นตายไปก็เกิดเป็นงูเหลือมเฝ้าทรัพย์และแม้แต่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเขาถวายข้าวสารอาหารแห้ง ให้เป็นของสงฆ์ หรือที่เราเรียกว่า สังฆทาน แต่กลับนำของนั้นมาใช้หรือนำไปให้ผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากสงฆ์ ก็เป็น กตัตตากรรมฝ่ายชั่ว พาไปสู่ ทุคติ
ลองมาดู กตัตตกรรมฝ่ายดีบ้าง กบน้อยตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าที่กำลังแสดงธรรม ก็เกิดความซาบซึ้งยินดีในน้ำเสียงนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีความเข้าใจในเนื้อความ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป เหมือนกับพวกเราชาวพุทธ ที่ฟังพระสงฆ์สวดมนต์ ก็ให้รู้สึกปลื้มปีติจิตแน่วแน่ หารู้ความหมายในเสียงสวดมนต์นั้นไม่ แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลินในใจมีความสุข อย่างนี้เป็นกตัตตกรรมฝ่ายดี เมื่อตายไปสามารถพาไปสู่ สุคติได้ การจับมือลูกหลานให้ถือทัพพีใส่บาตรพระ การจับมือเด็กให้ประนมมือไหว้พระ หรือสอนให้ภาวนา พุทโธๆๆ ซึ่งทารกเหล่านั้นก็แสดงกิริยาบุญไปอย่างนั้นเอง หาได้รู้ว่าหรือมีเจตนาว่าเป็นสิ่งดีมีคุณเป็นบุญเป็นกุศล เหมือนกับนกแก้ว นกขุนทอง นกสาลิกา สอนให้พูดภาษาคนได้ สอนให้สวดมนต์ได้ก็จัดเป็น กตัตตกรรม ฝ่ายดี งูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า และได้มีพระสงฆ์ไปท่องสวดมนต์อยู่ทุกๆ วัน งูเหลือมนั้นก็ชอบใจในเสียงสวดมนต์ ตั้งใจฟังอย่างเพลิดเพลิน กุศลกรรมนี้ก็เป็น กตัตตกรรม ฝ่ายดี
นกเค้าแมวตัวหนึ่ง ได้แลเห็นพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตรด้วยอาการสำรวม สง่างาม ก็มีจิตรักใคร่ชอบใจ จึงออกบินไปส่งครึ่งทาง เป็นประจำตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ ณ ถ้ำที่นกเค้าแมวตัวนี้อาศัยอยู่ ไม่แต่เท่านั้น วันหนึ่งในเวลาเย็นใกล้ค่ำ ขณะตะวันกำลังสาดแสงสีเหลืองแดง นกเค้าแมวตัวนี้ถึงกับบินออกจากซอกถ้ำ ไปยืนอยู่หน้าพระพุทธองค์ พร้อมยกปีกซ้ายขวาประหนึ่งถวายความเคารพ ทั้งๆ ที่ไม่รู้บุญรู้บาป แต่กระทำไปเพราะอยากจะทำ อย่างนี้ก็เป็น กตัตตกรรมฝ่ายดี ที่นำไปสู่สุคติได้ มีบุคคลอยู่จำพวกหนึ่ง ประเภทบุญไม่ทำ กรรม (ชั่ว) ไม่สร้าง ไม่ทำอะไรให้เดือนร้อนคนอื่น แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นมาละเมิดสิทธิของตนก็จัดอยู่ใน กตัตตกรรม นี้เหมือนกัน จะดีหรือชั่ว ก็แล้วแต่เหตุการณ์และการกระทำของเขา บรรดาสัตว์บุคคลทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ ย่อมต้องสร้างกตัตตกรรมนี้ทุกคน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการให้ผลของกรรมกตัตตกรรม นี้เนื่องจากเป็นกรรมที่มีพลังอ่อนไม่มีเจตนาจึงไม่มีเป้าหมายที่แน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อท่านใดไม่มี ครุกรรม (กรรมหนัก) อาสันนกรรม (กรรมก่อนตาย) อาจิณณกรรม (กรรมทำเป็นประจำ) แล้ว กตัตตกรรม (กรรมไม่เจตนา) นี้ก็จะให้ผล อาจเป็นชาตินี้ หรือว่าชาติหน้า หรือชาติไหนๆ ก็ได้ครับ.
9.กรรมทันตาเห็นหรือกรรมที่ให้ผลชาตินี้ (ทิฐธรรมเวทนียกรรม)
กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหรือกรรมที่ให้ผลทันตา (ทิฐธรรมเวทนียกรรม) เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจให้ผลในชาตินี้เลยทีเดียว ไม่มีแรงกรรมไปถึงชาติหน้าหรือชาติอื่นๆ มีทั้งที่ให้ผลทันตาภายในเจ็ดวัน (ปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) และหลังเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามภาพข้ามชาติคงให้ผลเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น (อปริปักกทิฐธรรมเวทนียกรรม) ตัวอย่างเช่น ชายยากจนเข็ญใจคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายมหาทุคคตะ ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่ องค์สมเด็จพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวันนั่นเอง ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายปุณณะพร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่องค์พระสารีบุตรมหาเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดความร่ำรวยมหาศาลภายในเจ็ดวัน ชายยากจนเข็ญใจอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นายกากวฬิยะ พร้อมกับภรรยาของเขา ได้มีโอกาสถวายภัตตาหารแด่พระกัสสปสังฆเถรเจ้า ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ พอถวายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับผลกรรมทันตาเห็น คือ ได้กลายเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก เกิดร่ำรวยมหาศาลภายในเวลาเจ็ดวัน เหล่านี้คือกรรมที่ให้ผลทันตาเห็นภายมในเจ็ดวันฝ่ายดีส่วนกรรมที่ให้ผลทันตาเห็นภายในเจ็ดวัน ฝ่ายชั่ว ก็มีตัวอย่าง เช่น มานพผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า นันทะ เป็นคนไร้สติปัญญามากด้วยโมหะจริต มีจิตคิดปฏิพัทธ์รักใคร่ใน พระอุบลวรรณาเถรี ซึ่งเป็นพระอรหันต์ตัดกิเลส วันหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปปลุกปล้ำองค์พระอรหันต์ สำเร็จเป็น กรรมทันตาฝ่ายชั่ว ถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรกภายในเจ็ดวัน
สมเด็จพระเจ้าสุปพุทธะราชาธิบดี แห่งเทวทหะนคร ซึ่งเป็นพระราชบิดรองค์เจ้าชายเทวทัตและฟ้าหญิงยโสธรา ผู้มีจิตอาฆาตพยาบาทต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า ภายหลังได้เสวยน้ำจัณฑ์จนมีพระอาการมึนเมา แล้วเข้าปิดกั้นทางโคจรบิณฑบาตรแสดงอาการไม่เคารพขับไล่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ สำเร็จ เป็นกรรมทันตาเห็น แล้วถูกธรณีสูบไปเสวยทุกข์อยู่ในนรก ภายในเวลาเจ็ดวัน กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันหลังจากเจ็ดวันล่วงไปแล้ว แต่ไม่ข้ามชาตินั้นที่กระทำแล้วในปฐมวัย บางชนิดก็อาจบันดาลให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมนั้น ได้รับผลในปฐมวัยนั่นเอง บางชนิดก็ให้ได้รับผล ในมัชฌิมวัย บางชนิดก็อาจบันดาลให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมนั้น ได้รับผลในตอน มัชฌิมวัย บางชนิดก็ให้ได้รับผลในตอนปัจฉิมวัย หรือที่กระทำแล้ว ในปัจฉิมวัย บางชนิดย่อมสามารถดลบันดาลให้บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรม ได้รับผลในปัจฉิมวัยรวมความว่ากรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันนี้ เมื่อว่าโดยเวลาที่ให้ผลแล้ว ก็อาจแบ่งได้โดยการให้ผลเร็วหรือช้าเป็นสองเวลาด้วยกัน คือ กรรมทันตาเห็น ที่ถึงความแก่กล้าแล้ว กรรมชนิดนี้ให้ผลอย่างรวดเร็วภายในเจ็ดวันนั่นเอง และกรรมที่ยังไม่เข้าถึงความแก่กล้า กรรมชนิดนี้ให้ผลช้า คือล่วงเจ็ดวันไปแล้ว อาจจะเป็นหลายปี หลายเดือน หรือพ้นจากวัยหนึ่ง ไปจนถึงอีกวัยหนึ่งก็ได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม เมื่อได้ชื่อว่าเป็นกรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน แล้วก็ย่อมไม่มีโอกาสให้ผลข้ามภพข้ามชาติไปเป็นอันขาด ย่อมมีประสิทธิภาพให้ผลได้แต่เฉพาะในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า กรรมชนิดนี้เป็นกรรมที่มีพลังอ่อน เนื่องด้วยไม่ได้รับอุปการะจากปัจจัยอื่น ฉะนั้น จึงมีประสิทธิภาพให้ผลได้แต่ในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น หากว่าในชาติปัจจุบันนี้ไม่มีโอกาสให้ผลแล้ว กรรมนี้ก็จะกลายเป็น อโหสิกรรม ไปทันที
กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบันที่สามารถดลบันดาลให้ปรากฏผลนั้น เพราะ
1. ไม่ได้ถูกเบียดเบียนจากกรรมลักษณะเดียวกันกับฝ่ายตรงข้าม เช่น ทำกรรมนี้ฝ่ายดี แล้วไม่ได้ถูกเบียดเบียนจากกรรมลักษณะนี้ฝ่ายชั่ว
2. มีกำลังมาก เพราะมีปัจจัยพิเศษเสริม เช่น เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเกิดในสมัยที่พระราชาและผู้ปกครองประเทศสนใจธรรมะ
3. มีกำลังหนักแน่น มีความกล้าและอดทน พยายามอย่างมาก จิตจึงมีกำลังมาก มีพลังหนักแน่น
4. กระทำต่อบุคคลพิเศษ เช่น พระอรหันต์ ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ
ตัวอย่างการให้ทานที่ให้ผลทันตาในชาตินี้
1. ผู้รับ จะต้องเป็นผู้ทรงคุณพิเศษเหนือบุคคลธรรมดา เช่น เป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์
2. ของถวาย จะต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ฉ้อโกง ลักขโมยมา
3. มีเจตนาแรงกล้าในการถวายทาน ทั้งก่อนถวาย ขณะกำลังถวาย และภายหลังการถวายแล้ว
เพราะฉะนั้นท่านใดประสงค์จะให้รับผลบุญกุศลอย่างทันตาเห็นภายในเจ็ดวัน หรือในระยะเวลาอันใกล้ ก็พยายามแสวงหาและตั้งจิตตั้งใจให้อยู่ในข่ายของกรรมชนิดนี้ ก็คงสมใจครับ.
10.กรรมที่ให้ผลชาติหน้า (อุปปัชชเวทนียกรรม)
กรรมที่ให้ในชาติหน้า หรือที่เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม เป็นกรรมที่บุคคลใดได้กระทำแล้วย่อมมีพลังอำนาจให้ผลในชาติหน้า อันเป็นชาติที่ 2 ต่อจากชาตินี้ เรามักเข้าใจผิดกันเสมอว่า กรรมที่ให้ผลทันตาในชาตินี้เป็นกรรมที่มีพลังอำนาจแรงกว่ากรรมชนิดอื่น เพราะให้ผลทันตาเห็น เป็นกรรมที่ติดจรวด ถูกอกถูกใจ ผู้ที่ชอบเห็นความพินาศของผู้อื่น กรรมที่ให้ผลชาตินี้ ถึงแม้จะให้ผลเร็ว แต่พลังอำนาจของมันก็หมดสิ้นลงในชาตินี้ ถ้านับอายุของคนก็คงไม่เกิน 100 ปี กรรมชนิดนี้ก็หมดสิ้นแล้ว กรรมที่ให้ผลชาติหน้า ถึงแม้ว่าจะแลดูช้า แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่าต้องได้รับกรรมประเภทนี้อย่างแน่นอน ไม่มีใครแซงคิวได้ ทำนองว่า “ช้า แต่ได้พร้าเล่มงาม” เหตุผลก็เพราะว่า เพราะกรรมประเภทนี้มักเป็นกรรมประเภท กรรมหนัก ทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว ถ้าเป็นฝ่ายชั่ว ก็เป็นประเภท อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อเลือด และประเภทหนักที่สุด คือทำสังฆเภท บุคคลเหล่านี้เมื่อตายไปย่อมถูกพลังอำนาจของกรรมชักนำไปเกิดในนรกทันที อันที่จริงเมื่อทำกรรมประเภทนี้แล้ว ผลแห่งกรรมก็ปรากฏให้เห็นในชาตินี้ด้วย แต่เป็นเพียงจิ๊บจ๊อย เท่านั้น กรรมที่ต้องรับในนรก มันแรงและแสนสาหัสกว่า และที่สำคัญไม่ใช่แค่ 100 ปี 200 ปีเท่านั้น ระยะเวลามันยาวนาน จนนับไม่ถ้วนเป็นหมื่นกัปแสนกัป นี่แหละจึงเรียกว่า มันมีพลังอำนาจแรงกว่า
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ เมืองพาราณสี มีพระราชกุมารทรงพระนามว่า พรหมทัตกุมาร และมีบุตรของปุโรหิตคนหนึ่ง มีชื่อว่า สังกิจจกุมาร ทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน ถึงแม้ว่าจะมีฐานะแตกต่างกัน เมื่อทั้งสองได้สำเร็จการศึกษา จาก ตักกศิลานคร พรหมทัตกุมาร ก็ได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอุปราชแห่งพาราณสีมหานคร ส่วน สังกิจจกุมาร ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์คนสนิทแห่งเจ้าอุปราชผู้เป็นสหายแห่งตน
วันหนึ่งเจ้าอุปราชเกิดมักใหญ่ใฝ่สูง อยากจะได้ครอบครองสมบัติและอำนาจ จึงคิดปลงพระชนม์สมเด็จพระราชบิดา แต่ก็ได้รับการทัดทานจาก อำมาตย์สังกิจจกุมาร เจ้าอุปราชก็หาได้ฟังคำทันทานไม่ กลับซ่องสุมผู้คนและกำลังอาวุธ จนในที่สุดก็ทำบาปหนัก ด้วยการปลงพระชนม์สมเด็จพระราชบิดาของตน
ส่วนสังกิจจกุมาร เมื่อไม่อาจขัดขวางได้ ก็ได้ปลีกตัวไปบวชเป็นฤาษีในป่าใหญ่ เจริญภาวนาจนสำเร็จฌานอภิญญา สามารถจัดแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ และมีความรู้เหนือวิสัยคนธรรมดา ด้วยอำนาจแห่งอภิญญาที่ได้บรรลุ เมื่อพรหมทัตกุมาร ทำการสำเร็จ ก็ยินดีปรีดากันอยู่ไม่นาน แต่การฆ่าบิดาอันเป็นกรรมหนัก อนันตริยกรรม จึงทำให้กษัตริย์องค์ใหม่ร้อนรุ่มกลุ้มพระทัย กลัวบาปกรรมนรกเป็นที่สุด จึงให้นึกถึงสหายเก่า และได้สืบเสาะค้นหา สังกิจจฤาษี เมื่อได้พบและ สังกิจจฤาษี ได้แสดงด้วยฤทธาให้เห็นถึงสภาพนรกต่างๆ กษัตริย์ผู้สำนึกบาปก็ได้บริจาคทานและรักษาศีลเป็นเนืองนิตย์ แต่ก็เป็นที่สังเวชใจยิ่งนัก เมื่อถึงกาลสิ้นพระชนม์พลังอำนาจของบาปกรรมที่ฆ่าพ่อก็ฉุดกระชากให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หันมาดูกรรมที่ให้ผลชาติหน้าฝ่ายดี กันบ้าง ก็เป็นกรรมประเภทที่ส่งผลแรงเช่นเดียวกัน นั่น ก็คือ การบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนสำเร็จตั้งแต่ ฌาน 1 เป็นต้นไป จนถึง ฌาน 8 ซึ่งเมื่อถึงกาลตายไป ก็จะเกิดใหม่ เป็นพระพรหมผู้วิเศษ ตามอำนาจของฌานชั้นที่บำเพ็ญได้
11.กรรมที่ให้ผลชาติที่ 3 เป็นต้นไป (อปราปริยเวทนียกรรม)
กรรมหรือการกระทำไม่ว่าดี หรือชั่ว ที่มีพลังอำนาจส่งผลแก่ผู้กระทำ ตั้งแต่ชาติที่ 3 เป็นต้นไป (ชาติปัจจุบันนับเป็นชาติที่ 1 ชาติหน้านับเป็นชาติที่ 2) ไม่ว่าจะเป็นชาติใด เมื่อกรรมประเภทนี้มีโอกาสเมื่อใดย่อมให้ผลเมื่อนั้น ดุจสุนัขล่าเนื้อ ตามทันเมื่อไรย่อมกัดเมื่อนั้น ไม่มีการลดละ ไม่มีการเป็นหมัน หรือกลายเป็นอโหสิกรรม จนกว่าจะได้ชดใช้กรรมนั้นแล้ว หรือจนกว่าผู้กระทำจักได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้วเท่านั้น จึงจักหมดฤทธิ์ไม่อาจติดตามต่อไปได้ เพราะท่านไม่เกิดอีกแล้วถึงแม้ว่าจะสำเร็จอรหันต์แล้วแต่ยังไม่ดับขันธ์ ก็ยังคงต้องมีโอกาสรับกรรมประเภทนี้อยู่อีกนั่นเองกรรมชนิดนี้เรียกว่า “อปราปริยเวทนียกรรม” เป็นกรรมที่มีพลังแรงและมีอายุยืนยาวกว่ากรรมใดๆ
ในสมัยพุทธกาลได้มีพระภิกษุจำนวนหนึ่งซึ่งอยู่ในแดนไกล เมื่อถึงกาลออกพรรษา จึงได้โดยสารเรือข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อมาเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี เมื่อเรืออยู่กลางทะเลหลวง ก็ให้เกิดขัดข้องและไม่สามารถหาสาเหตุได้ ในสมัยนั้นก็มีความเชื่อกันว่า ต้องมีบุคคลอันเป็นกาลกิณีอยู่บนเรือ จึงได้ใช้วิธีจับฉลากหาบุคคลไม่พึงประสงค์ จึงจับฉลากกันอยู่สามครั้งเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่า “ไม่ผิดตัวแน่” ในที่สุดนายเรือ ก็ได้จับหญิงกาลกิณี ซึ่งเป็นภริยาของตนถ่วงน้ำลงทะเล ตามมติความเชื่อ เพราะเป็นผู้จับ ฉลากกาลกิณี ได้ถึงสามครั้งเรือก็แล่นต่อไปได้ เหตุการณ์ครั้งนั้น ก่อให้เกิดความสลดหดหู่ใจแก่พระภิกษุเหล่านั้นมาก เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วจึงได้สอบถามถึงกรรมของหญิงสาวนั้น ซึ่งพระองค์ก็ทรงเล่าให้ฟัง อดีตกาลนานมาแล้ว นางได้เกิดเป็นหญิง และแต่งงานกับมานพหนุ่มผู้หนึ่ง นางเป็นคนขยัน ทำหน้าที่แม่บ้านได้เป็นอย่างดี
วันหนึ่งได้สุนัขพเนจรมาตัวหนึ่ง จึงชุบเลี้ยงไว้ในบ้านด้วยใจอารี จนสุนัขนั้นมีความรักใคร่ในตัวนางยิ่งนัก ไม่ว่านางจะไปไหนมักติดตามไปด้วยเสมอ เวลาทำงานอยู่ที่บ้านมันก็จะนอนเฝ้าดูนางอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาแห่งความภักดีเป็นหนักหนา ขณะนำข้าวไปส่งสามีที่ไร่นา หรือไปเก็บผัก หักฟืนในป่า เจ้าสุนัขแสนรู้นี้จะวิ่งตามหลังนางไปทุกครั้ง จนเป็นที่รู้กันในหมู่บ้าน แต่ก็มีเด็กหนุ่มวันรุ่นปากเปราะคึกคะนองล้อเลียนนางเป็นที่บัดสีใจอยู่เสมอ นางจึงไม่อยากให้สุนัขจอมซื่อสัตย์ติดตามนาง แต่ก็ทำยังไงได้ สุนัขก็คือสุนัข ถึงแม้นางจะไล่ตีไม่ให้มันตามหลายครั้งหลายหน มันก็ยังคอยติดตามระวังภัยอยู่เหมือนเดิม ด้วยความโกรธและความละอาย นางจึงขาดสติ และได้วางแผนอุบาทว์ โดยการเอาหม้อใส่ ทรายผูกคอสุนัขแล้วผลักตกน้ำจนตาย เมื่อนางตายไปก็ไปเกิดในอบายภูมิ แล้วต่อมาได้มาเกิดเป็นภริยาของนายเรือ จึงได้รับผลแห่งกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบันนี้ สำหรับตัวอย่างกรรมฝ่ายดีนั้นก็มีดังนี้
ยังมีอำมาตย์ข้าราชการคนหนึ่ง ได้เดินทางผ่านพระเจดีย์ใหญ่แห่งหนึ่ง เรียกว่า มหาเจดีย์ขณะนั้น ก็ให้รู้สึกมีจิตเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงไปเที่ยวหาดอกมะลิ แล้วน้อมนำไปบูชาพระมหาเจดีย์ พร้อมทั้งอธิษฐานว่า “ด้วยอนิสงส์ที่ได้บูชาพระมหาเจดีย์นี้ด้วยดอกมะลิอันขาวบริสุทธิ์ ขอให้ข้าพเจ้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญ และขออุทิศส่วนกุศลนี้แด่พญายมราช หากมีตัวตนจริงก็จงได้อนุโมทนาในส่วนกุศลที่อุทิศให้ในครั้งนี้ด้วยเถิด”
อำมาตย์ผู้นี้ทำการบูชาและอุทิศส่วนกุศลชนิดแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ชนิดเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า พญายมราชมีจริงหรือไม่ แต่ก็มีจิตผ่องแผ้วในการบูชามหาเจดีย์ครั้งนี้ จากนั้นอำมาตย์ก็เดินทางต่อไป แล้วก็ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะตนเข้าใจว่าคงมีผลเล็กน้อย อำมาตย์นี้ก็เหมือนกับผู้คนในยุคปัจจุบันคือตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เลี้ยงดูครอบครัว บุตรภริยาไปตามประสาที่เห็นว่าโลกนี้น่าอยู่ ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ รักษาสิทธิของตนตามกฎหมาย เรียกว่า “บุญไม่ทำ กรรม(ชั่ว) ไม่สร้าง” ไม่ชอบเข้าวัด มองว่าพระเป็นผู้เอาเปรียบสังคม ตัวเองเป็นนายของตัวเอง เชื่อมั่นในตนเอง หาความสุข ชื่อเสียง เกียรติยศเฉพาะชาตินี้เท่านั้น ไม่สนใจชาติหน้า ผีสาง เทวดา เรื่อง อภินิหารต่างๆ ของจิต มองเป็นเรื่องงมงาย กาลเวลาล่วงไป ชีวิตอำมาตย์ผู้นี้ก็ถึงกาลจบสิ้นลง ธรรมดาคนที่ตายนั้น หากเป็นคนทำบาปไว้มาก ทำบุญไว้น้อย ขณะที่ขาดใจตายบาปที่ทำไว้มาก จึงมีโอกาสปรากฏได้ชัดเจน จึงไปอุบัติเกิดในขุมนรก แต่ถ้าเป็นคน ทำบุญไว้มาก ทำบาปน้อย บุญก็จะปรากฏชัดเจนในขณะจะตาย ซึ่งย่อมนำไปเกิดในโลกสวรรค์ ส่วนคนที่ทำบุญและบาปไว้พอๆ กัน และทั้งบุญและบาปนั้นก็ไม่ใช่มีน้ำหนักมีความสำคัญมาก จึงไม่ปรากฏให้เห็นในขณะใกล้ตาย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องไปเกิดใน ยมโลกนรก ซึ่งพญายมราช จะได้ไต่สวนหรือพิพากษาตามการกระทำของคนๆ นั้นเมื่อได้สอบถามวิญญาณอำมาตย์ก็ตอบและจำไม่ได้ว่าทำบุญและทำบาปอะไรไว้บ้าง เมื่อเตือนความจำขึ้น อำมาตย์จึงระลึกได้เท่านั้นแหละ ผลบุญก็ปรากฏขึ้น พาไปเกิดเป็นเทพยดาในสรวงสวรรค์ทันที
12.กรรมที่ตามไม่ทัน (อโหสิกรรม)
กรรมที่ได้กระทำลงไปแล้ว แต่ไม่มีโอกาสให้ผล เรียกว่า “อโหสิกรรม" คนเราเกิดมามักกระทำทั้งกรรมดี และกรรมชั่วสลับกันไป กรรมหลายอย่าง ที่เป็นกรรมชนิดที่ให้ผลในชาตินี้ เป็นกรรมทันตาเห็น ซึ่งเป็นผลหนักเบาต่างกัน เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว กรรมทันตาเห็น ประเภทหนักสุด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดี หรือฝ่ายชั่ว ย่อมให้ผลก่อน แต่ให้ผลไปจนกระทั่งเราตายจากชาตินี้ไป กรรมทันตาเห็นประเภทรองๆ ลงไป ซึ่งเป็นกรรมที่ต้องให้ผลในชาตินี้เหมือนกัน เมื่อชาตินี้หมดไปแล้ว กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม อย่างเช่น พระเทวทัต ได้ทำกรรมหนักไว้หลายอย่าง ที่ต้องให้ผลในชาติปัจจุบัน แต่เมื่อถูกธรณีสูบไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเสียก่อน กรรมประเภทต้องให้ผลในชาติอย่างอื่น ก็เป็นอันไม่ได้ส่งผล เลยกลายเป็น อโหสิกรรม หรือ บางคนอาจจะสร้างความดีหลายๆ อย่าง ซึ่งจะค่อยๆ ให้ผล แต่ได้รับโชคดี เลื่อนฐานะยากจนกลายเป็นเศรษฐีอย่างทันตาเห็นในชั่วระยะเวลาข้ามคืน เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมอื่นๆ ประเภทต้องให้ผลชาตินี้ ก็กลายเป็น อโหสิกรรม กรรมหลายอย่าง ที่กระทำไว้ในชาตินี้ แต่เป็นกรรม ชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า และได้กระทำไว้หลายอย่างด้วยกัน เมื่อกรรมชนิดหนักที่สุดให้ผลก่อนแล้ว จนกระทั่งหมดสิ้นชาติหน้าไปแล้ว กรรมที่ให้ผลชาติหน้า ชนิดที่รองลงไปก็ไม่มีโอกาสให้ผล กรรมเหล่านี้ก็กลายเป็นอโหสิกรรม อย่างเช่น อนันตริยกรรม ซึ่งมีกรรมสังฆเภท มีโทษหนักสุดเมื่อชักนำให้ไปเกิดเป็นสัตวนรก ในนิรยภูมิ (ซึ่งมีอายุยืนยาวมาก) แล้วอนันตริยกรรม ประเภทมีโทษรองลงไป หรือกรรมประเภทให้ผลชาติหน้าอื่นๆ ก็ไม่มีโอกาสให้ผล จนตลอดอายุชาติหน้า กรรมเหล่านี้จัดเป็น อโหสิกรรม คือ ไม่มีโอกาสให้ผล หรือผู้ที่ได้ฌานต่างๆ ตั้งแต่ ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฌาน 5 ฌาน 6 ฌาน 7 และฌาน 8 เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า คือตายแล้วไปเกิดเป็น พระพรหมผู้วิเศษ ซึ่งเป็นชั้นที่มีอานิสงส์มากที่สุด ส่วนอานิสงส์ของชั้นอื่นๆ ตั้งแต่ชั้นฌาน 1 ถึง 7 ไม่มีโอกาสให้ผล เพราะเสวยชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อานิสงส์หรือกรรมของ ฌาน 1-7 นี้ก็กลายเป็น อโหสิกรรม สำหรับกรรมชนิดที่ให้ผลตั้งแต่ชาติที่ 3 เป็นต้นไป จนกว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ถึงซึ่งพระนิพพานนั้น มีผลยืนยาวมากกว่ากรรมชนิดให้ผลในชาติปัจจุบัน และชนิดที่ให้ผลในชาติหน้า จึงไม่กลายเป็นอโหสิกรรม ได้ง่ายๆ ย่อมติดตามไปอย่างเหนียวแน่น และยาวนาน
ในสมัยพุทธกาล ณ กรุงราชคฤห์ มีสาวโสภา บุตรเศรษฐีคนหนึ่งพอได้เห็นหน้าโจรที่ถูกจับประหารผ่านหน้าบ้าน ก็ให้เกิดอาการหลงรัก แล้วเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน เศรษฐีผู้เป็นพ่อจึงไปซื้อโจรประหารมาให้เป็นสามี เมื่ออยู่กินเป็นสามีภริยา กันได้ระยะหนึ่ง สันดานโจรก็กำเริบจึงได้ลวงธิดาเศรษฐีขึ้นไปบนภูเขา เพื่อจะฆ่าให้ตายแล้วชิงทรัพย์ แต่ด้วยปัญญาไม่ทันเท่า จึงถูกธิดาเศรษฐีผลักตกลงหน้าผาถึงแก่ความตาย ธิดาเศรษฐีรู้สึกเบื่อหน่ายและกลัวบาปที่ตนได้ฆ่าสามี จึงไปบวชอยู่นอกศาสนาพุทธ แล้วก็เจนจบมีวิชา มีปัญญา ที่ใครๆ ก็ไม่อาจตอบปัญหา 1,000 ข้อ ของนางได้ แต่เมื่อมาพระสารีบุตรได้แถลงไขในปัญหาเหล่านี้ได้ นางจึงได้ขอบวชเป็นพระภิกษุณี แล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด เมื่อนิพพานไปแล้ว กรรมที่ได้ฆ่าสามีไว้ จึงตามไม่ทันกลายเป็นอโหสิกรรม เพราะฉะนั้น การตัดกรรม การหนีกรรม จะกระทำได้ ก็ด้วยวิธีเหล่านี้ทั้งนั้น
อ้างอิง
http://www.geocities.com/metharung/kram12.htm
http://www.mediacenter.mcu.ac.th/data/caipyo/m5/web/.../p4.php
http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=125.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น