๑۩۞۩๑ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บบล๊อกของผมครับ ๑۩۞۩๑

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย

ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ไทย
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย ก็มีการแบ่งยุคคล้ายกับการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์สากล โดยแบ่งออกเป็น
1. สมัยก่อนประวัติศาสตร์
2. สมัยประวัติศาสตร์
1. ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ prehistory
ประวัติศาสตร์ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์สมัยที่มนุษย์ ไม่มีตัวอักษรใช้ในการสื่อสาร การศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนี้ ต้องศึกษาจากข้างของเครื่องใช้ เครื่องมือต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ใช้ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งเป็นสมัยต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ยุคหิน ระยะเวลาประมาณ 500,000-4,000 ปีมาแล้ว
1.1.1 ยุคหินเก่า
1.1.2 ยุคหินกลาง
1.1.3 ยุคหินใหม่
1.2 ยุคโลหะ ระยะเวลาประมาณ 4,000-1,500 ปีมาแล้ว
1.2.1 ยุคทองแดง
1.2.2 ยุคสำริด
1.2.3 ยุคเหล็ก
2. ยุคสมัยประวัติศาสตร์ history
การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ในสมัยประวัติศาสตร์ของไทย ยึดตามประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ถือว่า ประมาณ พ.ศ. 800 เป็นช่วงเวลาสมัยประวัติศาสตร์ แต่โดยทั่วไปแบ่งตามระยะเวลาการใช้เมืองหลวงเรียกชื่อตามสมัย
2.1 ประวัติศาสตร์สมัยก่อนสุโขทัย
2.2 ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย
2.3 ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา
2.4 ประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี
2.5 ประวัติศาสตร์สมัยรัตนโกสินทร์ ระยะเวลา พ.ศ. 2325 - ปัจจุบัน


สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นช่วงเวลานับตั้งแต่เกิดมนุษย์และวัฒนธรรมของมนุษย์ขึ้นในโลกเมื่อประมาณ ๒ ล้านปีมาแล้ว และสิ้นสุดลงในช่วงที่มนุษย์เริ่มมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งช่วงเวลาการสิ้นสุดสมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากในพื้นที่ต่างๆมีการประดิษฐ์ลายลักษณ์อักษรไม่พร้อมกัน
ความสนใจเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในโลกเริ่มต้นมาเป็นเวลานานนับพันปี โดยเริ่มจากการเก็บสะสมเครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อมาจึงพัฒนาจากการเก็บสะสมของเก่ามาเป็นการศึกษาอย่างเป็นระบบ จนเกิดคำว่า “ก่อนประวัติศาสตร์” ขึ้นครั้งแรกในฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๖
การศึกษาเรื่องก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยเริ่มต้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ต่อมาจึงมีการดำเนินงานศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบโดยนักโบราณคดีชาวต่างประเทศ และมีการศึกษาต่อเนื่องโดยนักโบราณคดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
การแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย
สมัยก่อนประวัติศาสตร์สามารถแบ่งย่อยได้หลายวิธี เช่น การแบ่งยุคตามลักษณะวัสดุที่มนุษย์นำมาใช้ทำเครื่องมือ และลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้ การแบ่งยุคตามลักษณะเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ
๑.การแบ่งยุคตามลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมนุษย์ได้ดัดแปลงวัสดุตามธรรมชาติทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมขึ้น การแบ่งยุคสมัยจึงใช้ชนิดของวัสดุแล้วลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้เป็นหลัก สามารถแบ่งได้กว้างๆเป็น๒ยุคคือ
๑.๑ยุคหิน แบ่งตามลักษณะเครื่องมือเป็น๓ยุคคือ
-ยุคหินเก่า เป็นยุคที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะอย่างหยาบๆ
- ยุคหินกลาง เป็นยุคที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะที่ทำประณีตขึ้น ขนาดของเครื่องมือเล็กลง ยุคนี้นักวิชาการหลายท่านไม่ยอมรับเนื่องจากขาดหลักฐานที่มาสนับสนุนได้อย่างชัดเจน
-ยุคหินใหม่เป็นยุคที่ใช้เครื่องมือหินขัดมีการทำเครื่องปั้นดินเผาขึ้นใช้
๑.๒ยุคโลหะ แบ่งตามชนิดของวัสดุเป็น๒ยุคคือ
-ยุคสำริด เป็นยุคที่ใช้โลหะผสมระหว่างทองแดงและดีบุกเรียกว่าสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้
-ยุคเหล็ก เป็นยุคที่รู้จักการถลุงเหล็กนำมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้
๒.การแบ่งยุคตามลักษณะเศรษฐกิจและสังคมของมนุษย์
นอกจากการแบ่งยุคตามชนิดของวัสดุและเครื่องมือเครื่องใช้แล้วยังพบว่าในบางครั้งนักวิชาการอธิบายยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ออกโดยดามลักษณะเศรษฐกิจสังคมออกเป็น
๒.๑ สังคมนายพราน เป็นยุคที่มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำ เก็บอาหารที่ได้จากธรรมชาติ ยังไม่ตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยถาวรมักอพยพตามฝูงสัตว์
๒.๒ สังคมเกษตรกรรม เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ยังคงมีการล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำ และเก็บอาหารที่ได้จากธรรมชาติ มักจะตั้งบ้านเรือนถาวรบนพื้นที่ที่เหมาะแก่การเกษตรกรรม มีการรวมกลุ่มเป็นหมู่บ้านเป็นเมืองมีการแลกเปลี่ยนผลผลิตและมีระบบการปกครองในสังคม
ยุคหินในประเทศไทย
ดินแดนประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือมนุษย์เดินตัวตรง(Homo erectus) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่ามนุษย์ชวา ซึ่งมีชีวิตอยู่บนเกาะชวา ประเทศอินโดนีเชีย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกคือมนุษย์ปักกิ่งซึ่งพบที่ถ้ำโจวกุเทียนในประเทศจีน มนุษย์เหล่านี้มีชีวิตอยู่ในราว๕-๘แสนปีมาแล้ว
เนื่องจากในช่วงเวลายุคน้ำแข็งนั้น ดินแดนที่เป็นเกาะต่างๆของประเทศอินโดนีเชียได้เชื่อมต่อเป็นแผ่นดินเดียวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นอกจากมนุษย์ชวาแล้วในประเทศจีนยังพบร่องรอยของมนุษย์เดินตัวตรงที่เรียกกันว่ามนุษย์ปักกิ่งซึ่งมีอายุไม่น้อยกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว มนุษย์เดินตัวตรงนี้ต่อมาได้มีวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ปัจจุบัน(Homosapiens)ตั้งแต่๑๐๐,๐๐๐ปีเป็นต้นมา
๑.ยุคหินเก่า(Palaeolithic)
หลักฐานเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยเท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบันคือเครื่องมือหินกะเทาะที่พบที่เขาป่าหนาม บ้านแม่ทะ และบ้านดอนมูล จังหวัดลำปาง เครื่องมือหินกะเทาะที่บ้านแม่ทะและบ้านดอนมูลพบอยู่ใต้ชั้นหินบะซอลท์ซึ่งเป็นชั้นทับถมของลาวาภูเขาไฟกำหนดอายุได้ในราว ๗๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ตรงกับช่วงเวลาประมาณ ยุคไพลสโตซีนตอนกลาง (Middle Pleistocene) ถึงยุคไพลสโตซีนตอนปลาย (Upper Pleistocene) ซึ่งในช่วงนี้พื้นที่บริเวณประเทศไทยเป็นป่าเขตร้อน มีต้นไม้ขึ้นทึบ มีฝนตกหนัก และมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ชุกชุมแต่ไม่มีการพบร่องรอยของมนุษย์แต่อย่างใด ร่องรอยของมนุษย์เก่าแก่ที่สุดคือฟันมนุษย์ที่ถ้ำวิมานนาคินทร์ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กำหนดอายุได้ในราว ๑๘๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีแหล่งโบราณคดีแหล่งอื่นที่พบเครื่องมือหินกะเทาะได้แก่แหล่งโบราณคดีถ้ำพระ จังหวัดเชียงราย ซึ่งนายฟริทซ์ สารสินนักโบราณคดีชาวสวิสเรียกเครื่องมือเหล่านี้ว่า ไซแอมเมี่ยน (Siamian culture) หรือวัฒนธรรมสยาม แหล่งโบราณคดีที่แควน้อย จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งนายแวน ฮีกเกอเร็นนักโบราณคดีชาวเนเทอร์แลนด์ที่ถูกจับเป็นเชลยศึกของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขณะก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะเรียกเครื่องมือเหล่านี้ว่า ฟิงนอยเอียน (Fingnoian culture) หรือวัฒนธรรมแควน้อย
เครื่องมือหินกะเทาะในยุคหินเก่านี้ยังพบในภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย ได้แก่ ตำบลเวียงดอยคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย บ้านด่านชุมพล อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง บ้านเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี บ้านท่ามะนาว อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี บ้านจันเด อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำพระ อำเภอไทรโยคจังหวัดกาญจนบุรีและแหล่งโบราณคดีบ้านผาหมูอำเภอร้องกวางจังหวัดแพร่เป็นต้น
เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ในยุคหินเก่าในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะทำจากหินกรวดแม่น้ำที่เก็บได้ตามริมฝั่งแม่น้ำ(pebbles) ได้แก่ หินไรโอไรท์ (Rhyorite) หินควอทไซท์ (Quartzite) หินทราย (Sandstone) หินเคลย์ (Claystone) เป็นต้น หินเหล่านี้มักจะกลมมนเนื่องจากถูกกระแสน้ำพัดพาและเกิดการขัดฝน มนุษย์จะนำเอาหินกรวดแม่น้ำเหล่านี้มากะเทาะเป็นเครื่องมือรูปร่างต่างๆแล้วนำมาใช้งาน เทคนิคการกะเทาะเป็นแบบกะเทาะโดยตรงระหว่างตัวเครื่องมือกับทั่ง หรือก้อนหินกับตัวเครื่องมือ กะเทาะเครื่องมือให้มีรูปร่างต่างๆ กัน เช่น เครื่องมือหินกรวดขนาดใหญ่กะเทาะหน้าเดียว (Unifacial tools) หรือเครื่องมือสับตัด (Choppers) ขวานถากรูปกำปั่น (Hand-adzes) เครื่องมือหินกรวดกะเทาะสองหน้า (Bifacial tools) เครื่องมือขุดตัด (Chopping tools) ฯลฯ ลักษณะเครื่องมือเครื่องใช้แบบนี้เป็นลักษณะเครื่องมือที่พบแพร่หลายในยุคหินเก่าบริเวณทางตะวันออกของอินเดียจนจรดเอเชียตะวันออกไกล ( จีน ) แตกต่างจากทางตะวันตกของอินเดียและเอเชียตะวันตกซึ่งแตกต่างออกไปดังได้กล่าวมาแล้วในบทต้นๆ วัฒนธรรมหินเก่าในภูมิภาคนี้ของเอเชียได้ตั้งชื่อวัฒนธรรมต่างๆ กันออกไปในแต่ละประเทศ ตามสถานที่ที่พบก่อน เช่น วัฒนธรรมโซน(Soan Culture)ในอินเดีย วัฒนธรรมโจวกุเตียน(Choukoutiennian Culture)ในจีน วัฒนธรรมอันยาเธียน(Anyathian Culture) ในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียน(Fingnioan Culture)ในไทย วัฒนธรรมแทมปาเนียน(Tampanian Culture)ในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัจจิตตาเนียน(Patjitanian Culture) ในอินโดนีเซีย เครื่องมือเหล่านี้เมื่อพิจารณาจากลักษณะรูปร่าง และโดยการเอาไปเปรียบเทียบกับแหล่งอื่น สามารถสันนิษฐานลักษณะการใช้งานได้ คือ การตัดการโค่นต้นไม้ การปอกเปลือกไม้ผ่าไม้ การกะเทาะหรือทุบเปลือกหอยลูกไม้เปลือกแข็งหรือกระดูกสัตว์ อาวุธในการล่าสัตว์ การแล่หนังสัตว์ การหั่นและตัดเนื้อสัตว์ นอกจากนี้อาจใช้เครื่องมือหินในการทำไม้เป็นอาวุธหรือเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ ซึ่งซากสัตว์ในยุคไพลสโตซีนที่พบแล้วในประเทศไทย ได้แก่ กะโหลกฮิปโปโปเตมัส ท่อนขาบนของควายพวกบูบาลัส กรามบนของช้างสเตโกดอน พบที่สะพานเดชาติวงศ์ จังหวัดนครสวรรค์ ซากหมาป่าดึกดำบรรพ์ที่จังหวัดอ่างทอง ซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่ในยุคไพลสโตซีนตอนกลาง
สภาพชีวิตของมนุษย์ในยุคหินเก่านี้แม้ว่าจะไม่พบหลักฐานมากมายนักในประเทศไทย แต่เราก็สามารถกล่าวถึงเรื่องราวของมนุษย์ในยุคนี้ได้โดยเปรียบเทียบกับแหล่งอื่นที่พบหลักฐานมากกว่า ทำให้เราทราบว่า มนุษย์ในยุคนี้ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และเก็บอาหารที่หาได้ตามธรรมชาติเช่นพืชและผลไม้ป่าเป็นอาหาร ลักษณะสังคมเป็นแบบสังคมนายพรานหรือล่าสัตว์ เร่ร่อนไปตามฝูงสัตว์ ไม่มีถิ่นฐานแน่นอน มักพบหลักฐานว่าอยู่อาศัยตาม ถ้ำ เพิงผา และที่ราบริมแม่น้ำ ส่วนสัตว์ที่ล่าเป็นสัตว์ยุคเก่าซึ่งหลายชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้ว
อย่างไรก็ตามหลักฐานที่พบยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของยุคหินเก่าในประเทศไทยได้มากมายนัก ส่วนใหญ่จะเป็นข้อสันนิษฐานจากการเปรียบเทียบกับแหล่งอื่นๆ หลักฐานที่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากที่สุดในปัจจุบันคือหลักฐานที่ได้จากการขุดค้นถ้ำหลังโรงเรียน จังหวัดกระบี่ ซึ่งมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยในถ้ำแห่งนี้เมื่อประมาณ ๓๘,๐๐๐-๒๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว
๒. ยุคหินกลาง (Mesolithic)
ยุคหินกลางในประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจากยุคไพลสโตซีนเข้าสู่ยุคโฮโลซีนมีอายุตั้งแต่ ประมาณ ๑๒, ๐๐๐ ปี จนถึงประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ในช่วงนี้สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศไม่แตกต่างจากปัจจุบันเท่าใดนัก ที่แตกต่างกันก็คงจะเป็นป่า คงมากกว่า ในช่วงนี้เองที่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ รับระดับน้ำทะเลที่ค่อยๆ สูงขึ้น จนทำให้ดินแดนบางส่วนจมลงทำให้ดินแดนที่เคยเชื่อมต่อหมู่เกาะต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย สุมาตรา บอร์เนียว ฯลฯ ได้ถูกตัดขาดลงจมสู่ใต้ระดับน้ำทะเลใหม่นี้
การค้นพบหลักฐานของมนุษย์ ก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินในช่วงเวลาต่อมา เป็นเครื่องมือหินกะเทาะอย่างประณีต ขนาดเล็กลง ไม่หยาบ ใหญ่ และหนักเช่นยุคแรก เครื่องมือแบบนี้เรียกว่า เครื่องมือแบบฮัวบินเนียน (Hoabinhian) ตามแหล่งโบราณคดีที่พบเครื่องมือแบบนี้ครั้งแรกคือที่ฮัวบินห์ (Hoa Binh) ประเทศเวียตนาม ชนิดของเครื่องมือจะมีหลายรูปแบบและใช้งานเฉพาะด้านมากกว่ายุคก่อน เช่นเครื่องมือปลายแหลม เครื่องมือขูด เครื่องมือทำจากสะเก็ดหิน รวมทั้งมีการเครื่องมือด้วยเปลือกหอยและกระดูกสัตว์เป็นเครื่องมือสำหรับเจาะและขูด เป็นต้น
เครื่องมือเครื่องใช้ยุคหินกลาง ในประเทศไทยและในกลุ่มทางเอเชียซีกตะวันออกนี้แตกต่างจากที่เป็นเครื่องมือหินขนาดจิ๋วในซีกโลกตะวันตกอย่างสิ้นเชิง เครื่องมือยุคหินกลางที่นี่ยังคงเป็นเครื่องมือหินกะเทาะเช่นเดียวกับยุคหินเก่า แต่มีเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็คือ กะเทาะอย่างประณีตกว่าเดิม และมีลักษณะการใช้งานเฉพาะอย่างมากขึ้น นอกจากเครื่องมือหินยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น ทำจากกระดูก ทำจากเปลือกหอย ได้แก่ เครื่องมือหินกะเทาะ แบบขวานกำปั้น(Proto-handaxes) เครื่องมือหินกรวดแม่น้ำที่กะเทาะอย่างหยาบแบบหน้าเดียว (Unifacial tools) และสองหน้า(Bifacial tools) เครื่องมือปลายแหลมรูปร่างคล้ายอัลมอนด์(Almond picks) หรือคล้ายถั่วลิสง กะเทาะหน้าเดียว เครื่องมือปลายแหลมรูปสามเหลี่ยม(Triangular picks)
เครื่องมือหินแบบสุมาตรา(Sumatralith) ทำจากหินกรวดรูปร่างแบนรูปไข่ กะเทาะหน้าเดียวหรือกะเทาะที่ขอบโดยรอบ เครื่องมือหินกะเทาะที่กะเทาะขอบทั้งสองด้าน(Edge-chipped bifaces) เครื่องมือขูด(Scrapers) อย่างที่มีรูปร่างกลมแบนมีผิวนอกเหลืออยู่ด้านหนึ่งและตรงกลางขอบที่กะเทาะ(Cortex disc) อย่างที่ทำจากสะเก็ดหิน(Flake disc) ขวานสั้น(Short-axes) พบที่เป็นแบบหนา(Thick short-axes) แบบแบน(Flatshort-axes)และแบบปลายแหลม(Pointedshort-axes) เครื่องมือสะเก็ดหิน(Flake tools) พบเป็นแบบด้านข้างขนานกัน(Bladelet) มีขนาดเล็กเป็นแผ่นบางส่วนที่มีขนาดใหญ่ ได้แก่ เครื่องมือกะเทาะหน้าเดียวรูปไข่(Flake oval) เครื่องมือขูดรูปกลมแบน(Flake disc) เครื่องมือปลายแหลมรูปคล้ายใบไม้(Leaf-shaped point) เครื่องมือหินกะเทาะปลายแหลม(Point) ซึ่งล้วนแต่ทำจากสะเก็ดหิน
นอกจากเครื่องมือที่กล่าวมาแล้วยังพบเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่ไม่มากนัก เช่น ฆ้อนหินสำหรับกะเทาะเครื่องมือจักรหิน เครื่องมือสำหรับผ่า(Cleavers) เครื่องมือสำหรับขุดหรือเจาะ(Picks) และหินบดควบคู่ไปกับการพบเครื่องมือสับตัดและเครื่องมือสำหรับสับตัด (Choppers and Chopping tools) ซึ่งพัฒนามาจากยุคหินเก่า และยังพบเครื่องมือที่ทำจากเปลือกหอย และกระดูกสัตว์ เช่น เครื่องมือเจาะไม้หรือหนังทำด้วยกระดูก (Bone awls) เป็นรูปทรงกระบอกข้างหนึ่งแหลม (เทียบได้กับเหล็กหมาด) เครื่องมือขูดทำจากเปลือกหอย
ชนิดของหินที่ใช้ทำเครื่องมือพบว่ามีแตกต่างกันในแต่ละที่ แต่มีข้อสังเกตว่าหินที่ถูกเลือกใช้จะมีเนื้อละเอียดมากขึ้นกว่าในยุคหินเก่า ชนิดของหินที่พบได้แก่ หินเชอร์ต(Schert) หินควอทไซท์(Quartzite) หินไรโอไลท์(Rhyorite) หินปูน(Limestone) หินชนวน(Shale) และแคลซิโดนี(Chalcedony) เป็นต้น
ในบางแหล่งยังพบเครื่องปั้นดินเผาเป็นชิ้นส่วนของภาขนะดินเผาลายเชือกทาบแตกหักป่นมาก การทำลายใช้เชือกที่ทำจากพืชในตระกูลหมาก(Raphia) พันไม้ประทับหรือตีลงบนภาชนะดินเหนียว ขณะที่ดินยังชุ่มอยู่และพบเศษภาชนะผิวเรียบขัดมันอีกจำนวนหนึ่ง แตกหักมากเช่นเดียวกัน บางชิ้นพบร่องรอยการทำลายขูดเป็นลูกคลื่น การพบเครื่องปั้นดินเผาในยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลก เนื่องจากเครื่องปั้นดินเผามักพบในยุคหลัง
นอกจากเครื่องมือเครื่องใช้แล้วยังพบกระดูกสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ เช่น เก้ง กวาง หมู กระทิง ควายป่า เสือ หมี ลิง ค่าง กระจง กระรอก หนู จระเข้ เต่า หอย ปู ปลาชนิดต่างๆ ฯลฯ ซากพืช ได้แก่ น้ำเต้า(Lagenaria หรือ Areca) พืชจำพวกถั่วเขียว ถั่วทอง ถั่วเหลืองหรือถั่วเหน้า(Phaseolus หรือ Glycene) มะกอกเลื่อม(Canarium) แตง(Cucumis) พืชจำพวกดีปลี พริกไทย หรือพลู(Piper) พืชจำพวกถั่ว(Vicia) มะเยา(Aleurite) มะซาง(Madhuca) ท้อ(Prunus) กระจับหรือมะแง่ง(Trapa) สมอไทยหรือสมอพิเภก(Terminalia) และซากเถ้าถ่านของไม้ไผ่ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่านอกจากทำที่อยู่อาศัยแล้ว ยังอาจใช้แทนภาชนะ(Bamboo containers)
ในช่วงยุคหินกลางนี้สภาพแวดล้อมไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบันเท่าใดนัก จากการสิ้นสุดยุคน้ำแข็งทำให้ระดับน้ำทะเลค่อยๆสูงขึ้นทำให้ดินแดนบางส่วนจมลง เกิดหมู่เกาะต่างๆขึ้น มนุษย์ในยุคนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในถ้ำ เพิงผา และสร้างกระท่อมอยู่ริมน้ำ ชายฝั่งทะเล และริมทะเล ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ การจับสัตว์น้ำ การเก็บพืช เมล็ดพืช และผลไม้ป่าเป็นอาหาร อพยพโยกย้ายที่อยู่อาศัยไปอยู่ที่ๆมีอาหารมากพอและอุดมสมบูรณ์
การรวมกลุ่มสังคมในยุคนี้จะมีมากขึ้น มีพิธีฝังศพแสดงให้เห็นความเชื่อในชีวิตหลังความตายและความสัมพันธ์ของคนตายกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ลักษณะของโครงกระดูกของมนุษย์จะถูกฝังนอนงอเข่า หรือฝังนอนหงายชันเข่า มีแผ่นหินวางทับร่างอยู่ พบว่ามีดินแดงโรยอยู่บนร่าง และมีการฝังเครื่องเซ่นร่วมกับศพ มีลักษณะของคนยุคนี้พวกออสโตรเมลานิเซียน(Austro Melanesian) หรืออาจมีลักษณะของพวกมาเลย์รุ่นแรก(Early Malay) ผสม แม้ว่าจะมีนักวิชาการจำนวนมากที่ไม่ยอมรับแนวความคิดเรื่องยุคหินกลางในประเทศไทย แต่จากหลักฐานที่พบแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้สืบทอดลักษณะการดำรงชีวิตแบบล่าสัตว์ และเก็บอาหารกิน(Hunting and gathering) เช่นเดียวกับยุคหินเก่า แต่อาจจะมีการจับสัตว์น้ำ(Fishing) และการใช้ประโยชน์หรือบริโภค พืช(Plant exploitation) เพิ่มขึ้น จากการกำหนดอายุโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ของหลักฐานจากแม่ฮ่องสอน และกาญจนบุรี พบว่าสมัยนี้มีอายุระหว่าง ๑๒,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว
แหล่งโบราณคดีในยุคหินกลางที่สำคัญ ได้แก่ ถ้ำหลังโรงเรียน และถ้ำหมอเขียว จังหวัดกระบี่ ถ้ำผีหรือถ้ำผีแมน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถ้ำไทรโยค ถ้ำองบะ ถ้ำเขาทะลุ ถ้ำหีบ ถ้ำเพชรคูหา และถ้ำเม่น จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำใกล้เขาจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ดอยถ้ำเขาพระ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เขาสนามแจง อำเภอบ้านหมี จังหวัดลพบุรี เนินใกล้ถ้ำฤาษี อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ถ้ำที่เขาแก้ว อำเภอโปงน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น
แหล่งโบราณคดียุคหินกลางที่ถ้ำผีหรือถ้ำผีแมนเป็นถ้ำเพิงผาขนาดเล็กบนภูเขาในเขตวนอุทยานถ้ำลอด ตำบลสบป่อง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากการขุดค้นที่ถ้ำแห่งนี้ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๐๙ ได้พบหลักฐานทางโบราณคดียุคหินกลางอายุระหว่าง ๑๓,๐๐๐-๗,๕๐๐ ปีมาแล้ว จนถึงยุคหินใหม่จากการขุดค้นได้พบเครื่องมือหินกะเทาะแบบฮัวบินเนียน ซากสัตว์ ซากพืช นอกจากนี้ยังพบหลักฐานแสดงความต่อเนื่องถึงยุคหินใหม่ ได้แก่ ขวานหินขัด และเศษภาชนะดินเผาแสดงให้เห็นสภาพชีวิตของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำผีซึ่งเริ่มจากการตั้งถิ่นฐานชั่วคราว ล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำ และเก็บอาหารกิน มาสู่การเริ่มต้นทำการเกษตรกรรม
๓. ยุคหินใหม่ (Neolithic)
เมื่อยุคน้ำแข็งสุดท้ายสิ้นสุดลง สภาพแวดล้อมค่อยๆเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคปัจจุบัน วิถีชีวิตบนลักษณะทางเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มนุษย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นจุดเริ่มต้นของยุคหินใหม่ ซึ่งในแต่ละบริเวณเริ่มต้นไม่พร้อมกัน แต่สามารถกล่าวโดยเฉลี่ยได้ว่าเริ่มต้นเมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว จนถึงประมาณ ๒,๕๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว จึงสิ้นสุดยุคหินใหม่ ซึ่งก็ไม่พร้อมกันเช่นเดียวกับจุดเริ่มต้น
ยุคหินใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ทั้งหมดจากการล่าสัตว์ ที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่บนที่สูง อพยพตามฝูงสัตว์ มนุษย์ได้อพยพลงจากที่สูงมาสู่ที่ราบ ปลูกสร้างบ้านเรือนถาวรอยู่กันเป็นหมู่บ้าน เริ่มลักษณะเศรษฐกิจใหม่ คือการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์(Cultivation and domestication) เริ่มรู้จักการทำเครื่องจักรสาน ทำภาชนะดินเผาขึ้นใช้ รู้จักการทอผ้า ลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้ก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเครื่องมือหินกะเทาะไปสู่เครื่องมือหินขัด สันนิษฐานว่าคนในยุคหินใหม่ มีการแบ่งงานกันทำ และมีการติดต่อกันระหว่างชุมชนซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยน หรือการติดต่อทางวัฒนธรรม เป็นต้น พืชและสัตว์ในยุคหินใหม่ ยุคหินใหม่จัดว่าเป็นสมัยของการเริ่มสังคมกสิกรรม จึงจำเป็นที่คนยุคหินใหม่จะต้องเกี่ยวข้องกับพืชพรรณต่างๆ หลายชนิด พืชที่สำคัญที่สุดก็ได้แก่ ข้าวจ้าว(Oriza sativa) ซึ่งยอมรับกันว่าปลูกขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรกในโลก (ที่โนนนกทา อายุประมาณ ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว ) นอกจากนี้ยังอาจปลูกพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟักทอง พริก บวบหรือแฟง ฯลฯ ซึ่งพืชส่วนใหญ่ ในยุคหินใหม่จะคล้ายหรือเป็นแบบเดียวกันกับพืชที่พบเห็นในปัจจุบัน
ส่วนสัตว์ก็เช่นเดียวกับคนยุคหินใหม่ ได้เริ่มทำการเลี้ยงสัตว์กันอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงล่าสัตว์อยู่ สัตว์ในสมัยนี้ก็คล้ายคลึงกันกับในปัจจุบัน เช่น หมู วัว เก้งหรือฟาง กระต่ายป่า ตะกวด กวาง เต่า แรด กระรอก หมา เป็นต้น นอกจากสัตว์ดังกล่าวนี้แล้ว พวกที่อาศัยอยู่ใกล้ฝั่งทะเล ได้นำทรัพยากรทางทะเลมาใช้ประโยชน์ด้วย(Marine adaptation) เช่น การจับปลา จับปู หาหอย ตลอดจนการจับตะพาบน้ำ มาเป็นอาหาร เป็นต้น ซึ่งจะพบซากสัตว์ทะเลเหล่านี้หนาแน่นมากในแหล่งชายฝั่งทะเล
ยุคนี้เป็นยุคที่มีแหล่งโบราณคดีมากมายในทุกภูมิภาคของประเทศไทย เครื่องมือเครื่องใช้ที่พบคือเครื่องมือหินขัด ที่สำคัญคือขวานหินขัดซึ่งชาวบ้านบางแห่งเรียกว่าขวานฟ้าเชื่อกันเป็นขวานศักดิ์สิทธิ์ที่ตกลงมาจากฟ้าใช้รักษาโรคได้ บางแห่งเรียกว่าเสียมตุ่นเชื่อกันว่าเป็นเสียมที่ตุ่นใช้ขุดดิน ลักษณะของเครื่องมือหินขัดมีหลายรูปแบบตามหน้าที่ เช่น ขวาน ขวานถากหรือผึ่ง ขวานมีบ่า จักร สิ่ว ฯลฯ เครื่องมือทำจากกระดูกสัตว์ ได้แก่ ฉมวก สิ่ว เบ็ด ส่วนเครื่องจักสาน มักพบเป็นรอยพิมพ์ของเครื่องจักสานอยู่บนภาชนะ หรือในดิน
เครื่องประดับ พบที่ทำด้วยหิน เช่น กำไลหิน ลูกปัดหิน ที่เป็นกระดูก ได้แก่ กำไล ลูกปัด ปิ่น จี้ นอกจากนี้ยังพบที่ทำจากเปลือกหอย เช่น ลูกปัด จี้ เป็นต้น
เครื่องปั้นดินเผา นอกจากภาชนะดินเผา เช่น หม้อ ไห จาน ชาม และเครื่องใช้อื่น เช่น ตุ้มถ่วงแห แวดินเผา(ใช้ในการปั่นด้าย) หินดุ(ใช้ในการขึ้นรูปภาชนะดินเผา) ภาชนะดินเผานี้นอกจากันออกไปตามสถานที่ ตัวอย่างเช่นที่พบในจังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศไทย ยังพบว่าบางแหล่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่พบในยุคหินใหม่ของจีน ภาชนะดินเผายุคหินใหม่ เป็นภาชนะเนื้อค่อนข้างหยาบในช่วงแรกจะขึ้นรูปด้วยมือ โดยอาจใช้หินดุช่วย ต่อมาจึงใช้แป้นหมุน ลวดลายที่ตกแต่งส่วนใหญ่จะเป็นลายเชือกทาบ รองลงมาจะเป็นเศษภาชนะผิวเรียบ นอกจากนี้ก็ตกแต่งด้วยลายขูด ลายขีด ลายจุดประ เป็นรูปทรงเรขาคณิต และเป็นรูปต่างๆ พบว่ามีการเคลือบน้ำโคลนเหลว และน้ำโคลนขันสมานรูซึมรั่วก่อนเผา การเผามักจะเป็นเตาแบบง่ายๆ คือ เตาเปิด(Open kilns) โดยใช้เชื้อเพลิงมาสุม จึงมักพบว่าภาชนะดินเผาในระยะเเรกๆ นี้มักสุกไม่ทั่ว นอกจากเศษภาชนะดินเผา และภาชนะดินแล้ว ยังพบเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ เช่น หินดุ(เครื่องมือขึ้นรูปภาชนะรูปร่างคล้ายเห็ด) กระสุนดินเผา(ใช้ยิงกับคันกระสุน) เบี้ยดินเผา(อาจใช้ในการละเล่น) แวดินเผา(ใช้ปั่นด้าย) ตุ้มถ่วงแห ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ที่ทำขึ้นจากดินเผา
เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคแห่งการเกษตรกรรม พืชที่สำคัญที่มนุษย์ยุคนี้ปลูกก็คือ ข้าว นอกจากนี้ยังอาจปลูกพืชอื่นๆ เช่น ถั่ว ฟัก บวบ ฯลฯ ส่วนสัตว์เลี้ยงได้แก่ หมา หมู วัว ควาย ฯลฯ การล่าสัตว์ยังคงพบหลักฐานการล่า เก้ง กวาง กระต่าย แรด กระจง กระรอก เต่า ตะพาบ หอย ปู และปลาชนิดต่างๆ เป็นต้น
หลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พบมากในแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่คือหลุมฝังศพ ซึ่งมักจะฝังศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว ส่วนที่ฝังงอตัวหรือฝังในภาชนะดินเผามีพบไม่มากนัก ภายในหลุมฝังศพมีเครื่องเซ่น เช่น อาหาร ภาชนะดินเผา ขวานหินขัด ฯลฯ เครื่องประดับตกแต่งร่างศพ เช่น กำไล ลูกปัด จี้ ทำด้วยวัสดุต่างๆ ซึ่งการฝังศพนี้แสดงให้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตและการตายของมนุษย์จนก่อเกิดประเพณีการฝังศพ นอกจากนี้แล้วบางครั้งพบว่ามีพิธีกรรมที่ทำกับศพ เช่น มัดศพ กรอฟันศพ เป็นต้น และทิศทางการฝังศพก็จะสะท้อนให้เห็นลักษณะความเชื่อ เช่น ฝังหันศีรษะไปทางทิศตะวันออกอาจหมายถึงการเกิดใหม่เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ เป็นต้น จากการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์พบว่าผู้ชายจะสูงระหว่าง ๑๖๐-๑๗๕ เซนติเมตร ส่วนผู้หญิงจะสูงระหว่าง ๑๔๕-๑๖๖ เซนติเมตร โรคภัยไข้เจ็บที่พบ ได้แก่ โรคโลหิตจาง โรคฟันผุ
สภาพชีวิตมนุษย์ในยุคหินใหม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่จากที่สูงมาอยู่บนที่ราบใกล้แหล่งน้ำ อยู่รวมเป็นกลุ่มเป็นหมู่บ้านบนเนิน ดำรงชีวิตลักษณะเศรษฐกิจใหม่ คือ การเกษตรกรรม เป็นการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ รู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผา การทำเครื่องจักสาน การทอผ้า เป็นต้น และพบว่ามีผลผลิตมากเกินกว่าที่จะบริโภค ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและการค้าขาย ส่วนการล่าสัตว์และการจับสัตว์น้ำยังคงมีอยู่
เนื่องจากมีการตั้งถิ่นฐานถาวร มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นรวดเร็ว สังคมยุคหินใหม่จะซับซ้อนมากขึ้น มีความแตกต่างทางฐานะในสังคม มีการแบ่งงานกันทำ การทำงานเฉพาะด้าน และมีการติดต่อกันระหว่างชุมชนซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนหรือการติดต่อทางวัฒนธรรมการเริ่มต้นของยุคหินใหม่ในแต่ละที่ไม่พร้อมกันแต่สามารถกล่าวโดยเฉลี่ยได้ว่าเริ่มต้นเมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว จนถึงประมาณ ๒,๕๐๐ - ๒,๐๐๐ ปีมาแล้วมนุษย์เริ่มรู้จักการนำโลหะมาทำเครื่องมือเครื่องใช้จึงสิ้นสุดยุคหินใหม่ซึ่งก็ไม่พร้อมกันในแต่ละพื้นที่เช่นเดียวกัน
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่พบอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ในสภาพภูมิประเทศแตกต่างกันเนื่องจากปัจจัยในการตั้งถิ่นฐาน เช่น พื้นที่ทำการเกษตรกรรม แหล่งวัตถุดิบในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ แหล่งน้ำ เป็นต้น ดังนั้นแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่จึงมักพบ อยู่ตาม ที่ราบลุ่มแม่น้ำ ที่ดอน ที่ราบสูง ถ้ำ เพิงผา และชายฝั่งทะเลซึ่งอยู่ใกล้แหล่งน้ำจืด ตัวอย่างเช่น บ้านเก่าในเขตลุ่มแม่น้ำแควน้อย อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ถ้ำพระ ตำบลไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โคกเจริญในเขตลุ่มแม่น้ำป่าสัก อำเภอไชยบาดาล จังหวัดลพบุรี ถ้ำสิงขร อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี โคกพนมดีในเขตชายฝั่งทะเลเดิม อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี บึงไผ่ดำในเขตชายฝั่งทะเลเดิม อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ฯลฯ


แหล่งโบราณคดียุคหินใหม่ที่บ้านเก่า
บ้านเก่าตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกแหล่งแรกของประเทศไทย จากการที่นายแวน ฮีกเกอเร็น นักโบราณคดีชาวเนเทอร์แลนด์ซึ่งเป็นเชลยศึกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้พบเครื่องมือหินกะเทาะในบริเวณริมแม่น้ำแควน้อยที่บ้านเก่า ระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ จากนั้นจึงมีการสำรวจบริเวณนี้อีกหลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา รัฐบาลไทยและรัฐบาลเดนมาร์กจึงได้ร่วมกันจัดทำโครงการสำรวจและขุดค้นอย่างเป็นระบบขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบครั้งแรกในประเทศไทย
จากการขุดค้นได้พบเครื่องมือหินขัด เครื่องปั้นดินเผา กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และโครงกระดูกมนุษย์เป็นจำนวนมาก เครื่องมือหินขัดที่พบเป็น ขวานหินขัดที่มีลักษณะแบบผึ่งหรือขวานถาก สิ่วหินขัด หัวลูกศร ปลายหอก หินลับ หินบด และจักรหินหรือแผ่นหินทำเป็นรูปวงกลมเจาะรูตรงกลาง กระดูกสัตว์ เขาสัตว์ และเปลือกหอยพบทั้งที่เหลือจากการบริโภคและที่ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น หัวลูกศร ปลายหอก เบ็ด สิ่ว เข็ม และเครื่องประดับภาชนะดินเผายุคหินใหม่ที่บ้านเก่าพบเป็นจำนวนมากและมีรูปแบบต่างๆกันเช่น หม้อ ชาม กระปุก พาน และที่สำคัญจนถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของยุคหินใหม่ที่บ้านเก่าคือหม้อสามขา ภาชนะดินเผาเหล่านี้นอกจากจะพบเป็นเครื่องใช้แล้วยังพบอยู่ในหลุมฝังศพซึ่งอาจเป็นภาชนะใส่เครื่องเซ่นสำหรับผู้ตาย จากการเปรียบเทียบภาชนะดินเผาพบว่าคล้ายคลึงกันกับภาชนะดินเผาของวัฒนธรรมลุงชานในประเทศจีน นอกจากภาชนะดินเผาแล้วยังพบเครื่องปั้นดินเผาชนิดอื่นเช่น ลูกกระสุนดินเผา แวดินเผา เป็นต้น
โครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากขุดค้นพบที่บ้านเก่า มักถูกฝังนอนหงายเหยียดยาว ตกแต่งศพด้วยเครื่องประดับเช่นลูกปัด กำไล มีความเชื่อในการกรอหรือถอนฟันของผู้ตายก่อนจะฝัง นอกจากนี้ยังมีการฝังเครื่องเซ่นเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาจมีการฝังอาหารสำหรับผู้ตายด้วย ยุคหินใหม่ที่บ้านเก่านี้มีอายุประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้วและมีการอยู่อาศัยต่อเนื่องมาจนเข้าสู่ยุคโลหะ ข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับยุคหินใหม่ที่บ้านเก่า ปัจจุบันจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่าซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณที่มีการดำเนินงานขุดค้น
๔. ยุคโลหะ
หลังจากที่มนุษย์ได้พัฒนาเครื่องมือที่ทำขึ้นจากหิน กระดูก เปลือกหอย ตลอดจนเครื่องมือที่ทำขึ้นจากไม้มาเป็นระยะเวลานาน มนุษย์ได้พัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ไปอีกระดับคือการรู้จักถลุงเอาทองแดงมาใช้ประโยชน์ ต่อมาจึงได้นำเอาทองแดงมาผสมกับโลหะอื่นเป็นสำริด และในที่สุดจึงได้พัฒนามาสู่การถลุงเหล็ก ซึ่งช่วงเวลานี้เรียกกันว่า ยุคโลหะ (Metal age)
ยุคโลหะในประเทศไทยได้เริ่มต้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนที่สุด คือเริ่มในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศคงเป็นยุคหินอยู่ และจากการกำหนดอายุชั้นดินที่พบโลหะ ( สำริด ) ที่โนนนกทา จังหวัดขอนแก่น พบว่ามีอายุประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งอาจพิจารณาได้ว่ามีการทำสำริดในไทยก่อนการทำสำริดในราชวงศ์ชาง(Shang dynasty) ของจีนเกือบ ๑,๐๐๐ ปี และก่อนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ของอินเดีย จะเริ่มทำเครื่องสำริดเกือบหรือกว่าร้อยปี เครื่องมือสำริดอันนี้พบในชั้นดินที่ ๑๙ ซึ่งในชั้นดินนี้ได้พบชิ้นส่วนสำริด เครื่องใช้สำริด ตลอดจนแม่พิมพ์หินทรายที่ใช้ในการหล่อสำริด
การพบหลักฐานเก่าแก่เช่นนี้สวนทางกับแนวความคิดที่เคยยอมรับกันว่า ยุคสำริดหรือ ยุคโลหะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้เกิดขึ้นหลังและรับเอาอิทธิพลจากยุคสำริดแห่งราชวงศ์ชางในจีน ผ่านวัฒนธรรมดองซอนซึ่งมีอายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว แต่จากการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดีควบคู่ไปกับการกำหนดอายุ พบว่าสำริดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยนั้น จากการขุดค้นที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี นั้นมีอายุถึงประมาณ ๕,๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยการใช้ภาชนะดินเผาลายเขียนสีไปกำหนดอายุโดยวิธีเทอร์โมสูมิเนสเซนส และด้วยเหตุนี้จากอายุทั้งสองครั้งยืนยันถึงความเก่าแก่ของยุคโลหะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งพัฒนาขึ้นควบคู่ไปกับการใช้เครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีว่าเก่าแก่ที่สุดในแถบนี้ คือเก่าแก่กว่าวัฒนธรรมดองซอนเกือบ ๒,๐๐๐ ปี เก่าแก่กว่ายุคสำริดของจีนประมาณ ๒,๐๐๐ ปี และเก่าแก่กว่ายุคสำริดของอินเดีย ๒๐๐ ปีเศษ ถ้าการกำหนดอายุของบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และของที่บ้านนาดี โนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น นั้นถูกต้อง
ในการศึกษาค้นคว้าต่อๆมาพบว่าเครื่องมือเครื่องใช้สำริด และภาชนะลายเขียนสีนี้ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างทางตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เช่น ที่นครพนม สกลนคร เป็นต้น และด้วยเหตุนี้บางท่านจึงจัดเอายุคโลหะในช่วงก่อนวัฒนธรรมดองวอนนี้ว่ายุคสำริดรุ่นแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางท่านเรียกรวมเอาว่าวัฒนธรรมบ้านเชียงวัฒนธรรมยุคโลหะในประเทศไทย ในที่นี้จะแยกกล่าวเป็นพวกสำริดรุ่นแรกกับพวกที่เป็นวัฒนธรรมดองซอนดังนี้
๑. พวกที่ใช้สำริดรุ่นแรก พวกนี้เริ่มใช้โลหะในการนำมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธ โลหะที่มนุษย์นำมาใช้ก่อนคือ ทองแดง อันเป็นโลหะที่ได้จากธรรมชาติ ตัวอย่างที่พบคือ ขวานทองแดงซึ่งทำจากทองแดงธรรมชาติ(Native copper) นำมาทุบเป็นขวานโดยไม่ถลุง และไม่ใช้ไฟช่วย หรือที่เรียกว่า ตีดิบ (Cold hammering technique) ต่อมาจึงรู้จักการถลุง(Metallurgy) นำเอาทองแดงผสมกับดีบุก เป็นสำริดและพัฒนาการต่อมาเป็นการใช้แม่พิมพ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่พบได้แก่ ขวานโลหะ ขวานหิน เครื่องประดับที่พบมีกำไลสำริด พบมากอยู่ร่วมกับศพ เครื่องมือที่เป็นกระดูกมีพบเป็นปลายหอกและหัวลูกศร
ลักษณะเครื่องปั้นดินเผาในช่วงแรก จะเป็นภาชนะดินเผาฝีมือหยาบเป็นลายเชือกทาบยังไม่มีภาชนะลายเขียนสี บางทีทำเป็นลายเชือกในกรอบลายขีด ต่อมาจึงเป็นภาชนะเขียนสีแดง เป็นลวดลายต่างๆ เช่น ลายเรขาคณิต ลายก้นหอยโบราณวัตถุอื่นๆ ได้แก่ ลูกกลิ้งซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าจะเป็นลูกกลิ้งสำหรับพิมพ์ลายบนผ้า หรือใช้เป็นเครื่องมือของขลัง และเครื่องประดับอีกอย่างหนึ่งคือ ในการขุดค้นได้พบร่องรอยของผ้าที่ห่อหุ้มศพ จาการศึกาาพบว่าเป็นผ้าไหม ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีอายุถึง ๔,๐๐๐ - ๕ ๐๐๐ ปีมาแล้วที่บ้านเชียง การฝังศพพวกนี้ฝังศพนอนหงายเหยียดยาวมีการวางเครื่องสังเวยลงในหลุม เช่นเครื่องปั้นดินเผา เนื้อสัตว์ เครื่องประดับ ( ส่วนใหญ่ประดับบนร่างกาย เครื่องมือเครื่องใช้ ทิศทางของการฝังมักหันหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ หรือตะวันตกเฉียงใต้ หรือตะวันออกเฉียงใต้) หลุมฝังศพจะเป็นหลุมไม่ลึกนัก มีการพูนดินเป็นเนินเมื่อฝังแล้วและยังพบการใช้ดินแดง ในพิธีฝังศพด้วย
จากหลักฐานต่างๆ โดยสังเขปนี้ พอจะกล่าวสรุปได้ว่าคนในยุคโลหะช่วงที่ใช้สำริดรุ่นแรกนี้เริ่มตั้งถิ่นฐานถาวรอยู่เป็นกลุ่ม สังคม โดยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นการกสิกรรมเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ มีการพัฒนาทางเทคนิควิทยาขึ้นถึงขั้นทำโลหะและถลุงโลหะ ทำเครื่องมือเครื่องใช้ มีการทอผ้าทำดังที่ได้พบตัวอย่างเศษผ้า และแวดินเผาจำนวนมาก ( มีการปลูกฝ้าย ปอ ) ทำภาชนะดินเผาและมีวิวัฒนาการขึ้นถึงชั้นที่จัดว่าสูง นอกจากการทำการกสิกรรมแล้วยังคงยึดการล่าสัตว์ จับปลาและหาอาหารกิน อยู่ ควบคู่กันไป น่าจะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างชุมชน
๒. พวกที่เป็นยุคโลหะตอนปลาย ยุคนี้ยังคงมีการทำเครื่องใช้สำริดอยู่แต่ที่แตกต่างออกมาคือ การพบเครื่องมือเหล็กอยู่ด้วย รวมทั้งเป็นช่วงที่มีวิวัฒนาการของวัฒนธรรมดองซอน แหล่งโบราณคดียุคโลหะตอนปลาย ได้พบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เช่นที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ที่ตำบลเขาขี้ฝอย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี, ที่ถ้ำงวงช้าง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่, ที่ตำบลจันเสน อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นต้น ยุคโลหะตอนปลายนี้เริ่มต้นขึ้นประมาณ ๒,๕๐๐ หรือ ๒,๒๐๐ ปีมาแล้วและมีวิวัฒนาการต่อมาจนหมดยุคก่อนประวัติศาสตร์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ พวกนี้มีความเจริญมาก ตั้งถิ่นฐานจนเกือบเป็นเมืองเล็กๆ เป็นกสิกรรมที่มีความชำนาญในการปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ยังล่าสัตว์ และจับปลา และมักตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีการทอผ้าเองใช้ โดยพบหลักฐานเป็นผ้าทอด้วยปอกัญชา(Hemp) และแวดินเผาเครื่องมือเครื่องใช้ที่พล มีขวาน หอก ทั้งที่เป็นสำริดและเหล็ก ยังคงมีการใช้กระสุนดินเผายิงกับดินกระสุนภาชนะหุงต้ม มีทั้งที่เป็นภาชนะดินเผา และภาชนะดินเผา และภาชนะสำริดเครื่องประดับมีลูกปัดหิน ลูกปัดแก้ว กำไลหิน กำไลแก้ว ลูกปัดดินเผา กำไลดินเผา กำไลสำริด ตุ้มหูสำริด แหวนสำริดเครื่องใช้อีกอันหนึ่งของคนสมัยนี้คือ กลองมโหระทึก ซึ่งเป็นเครื่องใช้ที่พบทั่วไปในวัฒนธรรมกองซอนสันนิษฐานว่าใช้ในพิธีกรรมอันใดอันหนึ่ง เช่นขอฝนพิธีศพเป็นต้น ในการฝังศพพบว่ายังคงมีการฝังศพท่านอนหงายเหยียดยาว แขนวางแนบตัว หันศีรษะไปในทิศทางต่าง ๆ กัน ในแต่ละแหล่ง มีการฝังเครื่องสังเวยลงในศพ เมื่อสิ้นสุดในยุคโลหะนี้แล้วจึงเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งบางแห่งก็ต่อเนื่องกับสมัยประวัติศาสตร์เลย ระยะเวลาการสิ้นสุดยุคโลหะนี้ย่อมแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
ยุคโลหะในประเทศไทย สามารถแบ่งย่อยตามชนิดของโลหะที่ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้เป็น ๒ ยุค คือ สำริด (Bronzeage)และยุคเหล็ก(Ironage)

๔.๑ ยุคสำริด (Bronze Age)
ยุคนี้เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว เมื่อมนุษย์รู้จักนำการทำสำริดแล้วเอามาทำเครื่องมือเครื่องใช้ และสิ้นสุดลงเมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว เมื่อมนุษย์รู้จักถลุงเหล็กมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งในแต่ละพื้นที่อาจมีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุดแตกต่างกันเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านโลหะไม่เท่าเทียมกัน
สำริดเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุกโดยทั่วไปจะมีสัดส่วนของทองแดง ประมาณ ๘๕ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ และดีบุกประมาณ ๑๐ - ๑๕ เปอร์เซ็นต์ หลอมกันในอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า ๑,๐๘๓ องศาเซลเซียส กรรมวิธีการทำสำริดค่อนข้างยุ่งยาก ตั้งแต่การหาแหล่งแร่ การเตรียมและแต่งแร่การถลุงแร่ และการผสมแร่ในเบ้าหลอม จากนั้นจึงเป็นการขึ้นรูปทำเครื่องมือเครื่องใช้ ด้วยการตีหรือด้วยการหล่อ ในแม่พิมพ์หินทรายหรือแม่พิมพ์ดินเผา
เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคสำริดที่พบตามแหล่งต่าง ๆ ในประเทศไทย นอกจากเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากสำริดแล้ว ยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากดินเผา หินและแร่ ในบางแหล่งมีการใช้สำริดต่อเนื่องมาจนถึงยุคเหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากสำริดได้แก่ ขวาน หอก ภาชนะ กำไล ตุ้มหู ลูกปัด ฯลฯ เครื่องใช้สำริดที่สำคัญก็คือ กลองมโหระทึก ซึ่งใช้ในพิธีกรรม เช่น พิธีขอฝน พิธีศพ ฯลฯ เรียกวัฒนธรรมที่ทำกลองมโหระทึกนี้ว่าวัฒนธรรมดองซอน (Dongson Culture) ตามแหล่งที่พบกลองแบบนี้ครั้งแรกในประเทศเวียดนาม
นอกจากเครื่องมือเครื่องใช้ทำจากสำริดแล้วยังพบว่ามีการใช้ดินเผา มาทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วย เช่น ภาชนะดินเผา กระสุนดินเผา แวดินเผา(ใช้ในการปั่นด้าย) ฯลฯ นอกจากนี้ยังพบเครื่องประดับเช่น ลูกปัด กำไล จี้ห้อยคอ ตุ้มหู และแหวน ทำจากหินและแร่
มนุษย์ยุคสำริดในประเทศไทย ยังคงดำรงชีวิตด้วยการเกษตรกรรมเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ แต่ เช่นเดียวกับยุคก่อน พัฒนาทางเทคนิคจนรู้จักการถลุงแร่และผสมแร่มาทำเครื่องมือ การทอผ้า การทำเครื่องปั้นดินเผาด้วยเทคโนโลยีที่สูงกว่ายุคก่อน นอกจากการทำเกษตรกรรมแล้ว ยังคงยึดเอาการล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำและเก็บอาหารจากธรรมชาติควบคู่กันไปกับการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ การตั้งถิ่นฐานจะสร้างบ้านเรือนรวมกลุ่มกันใกล้แหล่งน้ำจนเป็นเมืองขนาดเล็ก มีการทำงานเฉพาะด้านมีการค้าขายแลกเปลี่ยน มีระบบการปกครองโดยมีหัวหน้าหรือผู้ปกครองเป็นผู้นำ มีชนชั้นในสังคม และในด้านความเชื่อจนมีหมอผีซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบพิธีกรรม ในยุคสำริดยังคงประกอบพิธีกรรมฝังศพผู้ตาย ลักษณะศพจะถูกฝังนอนหงายเหยียดยาว ตกแต่งศพด้วยเครื่องประดับ มีการโรยดินแดง วางเครื่องเซ่น เช่น เครื่องใช้สำริด เครื่องปั้นดินเผา เนื้อสัตว์ ฯลฯ ไว้ในหลุมศพ
แหล่งโบราณคดียุคสำริดในประเทศไทยที่สำคัญได้แก่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี บ้านนาดี จังหวัดขอนแก่น โนนนกทา จังหวัดขอนแก่น บ้านปราสาท จังหวัดนครราชสีมา หนองโน จังหวัดชลบุรี โคกพลับ จังหวัดราชบุรี ฯลฯ
๔.๒ ยุคเหล็ก (Iron Age)
ยุคนี้เริ่มต้นจากการติดต่อกับต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย ฯลฯ ในช่วงเวลาประมาณ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว และพัฒนาทางเทคโนโลยีจากการใช้สำริดมารู้จักการถลุงเอาเหล็กมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่า กรรมที่ยุ่งยากกว่า หลักฐานในยุคเหล็กมักพบอยู่ในแหล่งเดียวกันกับสำริดบางครั้งจึงมักเรียก ๒ ยุคนี้รวมกันว่ายุคโลหะ
เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ในยุคนี้นอกจากเครื่องมือเหล็กแล้วก็จะคล้ายคลึงกันกับยุคสำริด และยังคงใช้สำริดในการทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ สภาพชีวิตของมนุษย์ในยุคนี้ก็คงดำรงชีวิตด้วยการเกษตรกรรม ขนาดของสังคมจะใหญ่ขึ้นมาก มีการรวมกลุ่มกับเป็นชุมชนขนาดใหญ่ อยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีหัวหน้าปกครอง และชุมชนเหล่านี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นชุมชนเมืองที่มีคูน้ำและคันดินกำแพงเมืองล้อมรอบในสมัยต่อมา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในยุคเหล็ก ได้แก่ บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ฯลฯ
แหล่งโบราณคดียุคโลหะที่บ้านเชียง
บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในยุคสำริดต่อเนื่องจนถึงยุคเหล็ก ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เนื่องจากการพบเครื่องปั้นดินเผาเป็นภาชนะลายเขียนสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ลวดลายที่เขียนมีความงดงามมาก และอายุของสำริดและเหล็กที่พบที่บ้านเชียงก็จัดได้ว่าเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จนในที่สุดบ้านเชียงจึงได้รับการขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก
บ้านเชียงเริ่มได้รับความสนใจจากการขุดพบเศษภาชนะลายเขียนสีที่มีลวดลายงดงาม จึงมีการสำรวจแหล่งโบราณคดีแหล่งนี้อีกหลายครั้ง รวมทั้งมีการลักลอบขุดหาภาชนะดินเผาเหล่านี้เพื่อนำไปขาย จนแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงถูกทำลายไปเป็นอันมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เป็นต้นมาจึงมีการดำเนินงานวิจัยและขุดค้นทางโบราณคดีโดยนักโบราณคดีจากกรมศิลปากรและนักโบราณคดีจากต่างประเทศหลายครั้ง และพบว่าหลักฐานทางโบราณคดีแบบเดียวกับที่บ้านเชียงกระจายอยู่ทั่วไปในเขตจังหวัดอุดรธานีและสกลนคร
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากการดำเนินงานที่บ้านเชียงพบว่ามนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงจะอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน ดำรงชีวิตด้วยการเกษตรกรรม ปลูกข้าว และเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัว หมู และสุนัข นอกจากนี้การล่าสัตว์ เช่น เก้ง กวาง หมูป่า กระต่าย ชะมด พังพอน งู แย้ ฯลฯ และจับสัตว์น้ำ เช่น ปลาชนิดต่างๆ เต่า ตะพาบ หอย และกบ เครื่องมือเครื่องใช้ในยุคแรกเป็นขวานหินขัด ต่อมาจึงเริ่มมีการทำเครื่องประดับและเครื่องมือสำริดขึ้นใช้ เช่น กำไล ตุ้มหู หัวขวาน และใบหอก เป็นต้น และในที่สุดจึงพัฒนามาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็ก วัฒนธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียงแบ่งย่อยออกได้จากลักษณะการฝังศพและลักษณะของภาชนะดินเผาในหลุมฝังศพเป็น๓ระยะคือ
๑. บ้านเชียงยุคต้น มีอายุระหว่าง ๔,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้เป็นขวานหินขัด ต่อมาจึงเริ่มมีการทำเครื่องประดับและเครื่องมือสำริด ภาชนะดินเผาเป็นสีดำหรือสีเทาเข้ม เขียนลวดลายด้วยการใช้ของแหลมขูดหรือขีด หรือใช้เส้นเชือกประทับลงบนผิวภาชนะหรือที่เรียกว่าลายเชือกทาบ และเริ่มมีการระบายสีแดงในช่วงท้ายของยุคนี้
การฝังศพมีทั้งที่ฝังนอนหงายเหยียดยาว หรือนอนงอเข่า และศพเด็กบางศพจะบรรจุลงในภาชนะดินเผาขนาดใหญ่แล้วนำไปฝัง มีการตกแต่งร่างกายของผู้ตายด้วยเครื่องประดับทำจากหินและเปลือกหอยทะเล และมีการฝังเครื่องเซ่นเช่นเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะดินเผา อาหาร ลงในหลุมฝังศพ จากการศึกษาโครงกระดูกมนุษย์ที่พบในหลุมฝังศพพบว่าผู้ชายจะสูงระหว่าง ๑๖๕-๑๗๕ เซนติเมตร ผู้หญิงสูงระหว่าง ๑๕๐-๑๕๗เซนติเมตรและเสียชีวิตเมื่ออายุไม่มากนักคือระหว่าง๒๗-๓๔ปี
๒. บ้านเชียงยุคกลาง มีอายุระหว่าง ๓,๐๐๐-๒,๓๐๐ ปีมาแล้ว ในยุคนี้มีการใช้สำริดทำเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับมากขึ้น และเมื่อประมาณ ๒,๗๐๐-๒,๕๐๐ ปีมาแล้วจึงรู้จักถลุงเหล็กขึ้นใช้ประโยชน์ ภาชนะดินเผาในยุคนี้จะแตกต่างออกไปคือเป็นภาชนะขนาดใหญ่สีขาวนวล ก้นภาชนะแหลมหรือกลม มีการระบายสีแดงที่ขอบปาก ประเพณีการฝังศพจะฝังนอนหงายเหยียดยาว เครื่องเซ่นจะเป็นการนำเอาภาชนะดินเผามาทุบให้แตกแล้วโรยบนศพ
๓. บ้านเชียงยุคปลาย ระหว่าง ๒,๓๐๐-๑,๘๐๐ ปีมาแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กแพร่หลายมากขึ้นในยุคนี้ ส่วนสำริดจะใช้ทำเครื่องประดับที่มีรูปแบบงดงามประณีตมาก ภาชนะดินเผาในยุคนี้คือภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนผิวสีขาวนวลที่มีชื่อเสียงและเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมที่บ้านเชียง การฝังศพจะฝังนอนหงายเหยียดยาวแล้ววางภาชนะทับบนศพ
วัฒนธรรมหินใหญ่ (Megalithic Culture)
ในยุคสำริดยังมีการนำเอาหินขนาดใหญ่ปัก ตั้ง หรือก่อเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม ซึ่งเราเรียกวัฒนธรรมการก่อสร้างเหล่านี้ว่า วัฒนธรรมหินใหญ่ (Megalithic Culture) โดยสร้างขึ้นเป็นลักษณะต่างๆ เช่น เป็นโต๊ะหิน(Dolmen) เป็นแท่งหินปักหรือตั้งไว้ก้อนเดียวโดดๆ(Menhirs) เป็นวงกลม(Cromlechs) และเป็นแถวเป็นแนวขนานกัน(Alignments) โดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็น แท่นบูชา เสาหลัก ขอบเขตพิธีกรรม ตำแหน่งหลุมฝังศพ สถานที่ชุมนุม เป็นต้น วัฒนธรรมหินใหญ่ที่พบในประเทศไทยจะมีอายุอยู่ในยุคสำริดและยุคเหล็ก เข้ามาพร้อมกับกลองมโหระทึกในวัฒนธรรมดองซอน
ตัวอย่างสิ่งก่อสร้างหินในวัฒนธรรมหินใหญ่ที่พบในประเทศไทยได้แก่หินตั้งเป็นวงกลมที่ป่าสะเลียมอำเภอฮอดจังหวัดเชียงใหม่ ที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่บ้านหินตั้งอำเภอสูงเนินจังหวัดนครราชสีมา

ศิลปะถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย

ศิลปะถ้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ การเขียนเป็นรูปต่างๆ ที่คนก่อนประวัติศาสตร์เขียนขึ้น ภาพผนังถ้ำ ตามเพิงผา งานศิลปกรรมที่พบมีทั้งที่เป็นภาพเขียนสีและภาพสลัก ภาพที่พบส่วนใหญ่เป็นภาพมือ ภาพคน ภาพสัตว์ และภาชนะลายเรขาคณิต บางครั้งพบเป็นภาพขบวนพิธีกรรม หรือพบเป็นกลุ่มภาพที่แสดงกิจกรรมของมนุษย์ในอดีต ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนสีส่วนใหญ่พบว่าสีที่ใช้พบว่าส่วนใหญ่เป็นสีแดงรองลงมาเป็นสีขาว และดำ ไม่พบสีอื่น สีแดงที่ได้สันนิษฐานว่าได้จากออกไซด์ของเหล็ก หรือสีของแร่เฮมาไทท์ สีดำจากถ่านฯลฯ ส่วนเทคนิคการเขียนมีทั้งการเขียนเฉพาะโครงร่างภายนอก การเขียนตัวทึบ การแสดงภาพภายในแบบเอ็กซ์เรย์ ตลอดการประทับหรือการพ่นทับวัตถุ
ภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ซึ่งตีความได้แตกต่างกันหลายประการ เช่น
๑.เพื่อเป็นการตกแต่งที่อยู่อาศัย
๒.เพื่อเป็นสิ่งแสดงความภาคภูมิใจในการล่า
๓.เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสถานที่
๔.เพื่อแสดงความประทับใจในธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ได้พบเห็น
๕.เพื่อใช้เป็นสื่อในการสั่งสอนคนรุ่นหลังหรือผู้เยาว์
๖. เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม
ศิลปะถ้ำเหล่านี้จะไม่สามารถกำหนดอายุได้ แต่อาจพบหลักฐานอื่นๆในถ้ำที่ยืนยันที่สามารถบอกยุคสมัยได้ และใช้เป็นอายุเปรียบเทียบของศิลปะถ้ำได้ ซึ่งพบว่ามีการสร้างงานศิลปะถ้ำมาตั้งแต่ตอนปลายของยุคหินเก่าต่อเนื่องมาจนถึงยุคโลหะ งานศิลปะถ้ำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นสะภาพชีวิต สภาพแวดล้อม การแต่งกาย การล่าสัตว์ ตลอดจนพิธีกรรม
ศิลปะถ้ำในประเทศไทยมีพบทุกภูมิภาค เว้นแต่ภาคตะวันออกของประเทศซึ่งยังไม่มีรายงานการสำรวจพบ เช่นที่ ถ้ำผามือแดง เขาจอมนาง บ้านส้มป่อย ตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร ถ้ำฝ่ามือ บ้านหินล่อง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ถ้ำลายและถ้ำโนนเสาเอ้ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ภูปลาร้า จังหวัดอุทัยธานี ถ้ำผีหัวโต จังหวัดกระบี่ ถ้ำตาด้วงและถ้ำรูปเขาเขียว อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี และถ้ำในอ่าวพังงา จังหวัดพังงา และจังหวัดกระบี่ เป็นต้น


บทสรุปสมัยก่อนประวัติศาสตร์
๑.สมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุระหว่างราว๕๐,๐๐๐-๑,๗๐๐ปีมาแล้ว
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ของไทยเป็นการศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ ที่ได้จากหลักฐานที่ถูกละทิ้งไว้บนดินในบริเวณที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยหรือในหลุมศพ อาจจะเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินในรูปแบบต่างๆ ภาชนะที่ทำด้วยดินหรือโลหะ ตลอดจนเครื่องประดับที่ติดอยู่กับโครงกระดูก ซึ่งเรื่องราวของมนุษย์กลุ่มต่างๆเหล่านี้อยู่ในระยะเวลาที่ไม่ปรากฏว่ามีการใช้หนังสือเป็นสื่อภาษาที่บันทึกไว้แต่อย่างใด แต่เราสามารถศึกษาอายุของหลักฐานโบราณวัตถุนั้นๆจากรูปร่างลักษณะ และจากวัสดุที่ใช้ทำขึ้น ทั้งโดยวิธีการหาอายุจากวิธีวิทยาศาสตร์ คือ วิธี คาร์บอน ๑๔ หรือเทอร์โมลูมิเนสเซนส์ และการศึกษาเปรียบเทียบกับรูปแบบของโบราณวัตถุจากแหล่งโบราณคดีของเพื่อนบ้าน หรือดินแดนอารยธรรมร่วมสมัยใกล้เคียงที่สามารถศึกษากำหนดอายุได้ แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ของไทยนี้แต่เดิมแบ่งออกเป็น ๔ สมัย ตามลักษณะและวัสดุที่นำมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ คือ
๑.สมัยหินเก่า อายุประมาณ๕๐,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว
๒.สมัยหินกลาง อายุประมาณ๑๐,๐๐๐-๗,๐๐๐ ปีมาแล้ว
๓.สมัยหินใหม่ อายุประมาณ๗,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว
๔.สมัยโลหะ อายุประมาณ๕,๖๐๐-๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว
อย่างไรก็ดี สมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้นักวิชาการโบราณคดีรุ่นใหม่ได้ใช้ศัพท์ในการกำหนดเรียกสมัยเหล่านี้ใหม่โดยใช้ลักษณะความเจริญของสังคมเป็นการกำหนดอายุ คือ
๑.สังคมล่าสัตว์
๒.สังคมเกษตรกรรม
๓. สังคมเมืองเริ่มแรก
เครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของไทย
เครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์พบว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยหินกลางหรือสังคมล่าสัตว์ ทำขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่พิถีพิถันนัก โดยใช้มือปั้นขึ้นรูปอย่างอิสระ จากนั้นได้พัฒนาให้มีความประณีตสวยงามขึ้นโดยใช้แป้นหมุนช่วยในการขึ้นรูป และตกแต่งผิวภาชนะด้วยการขัดผิวให้มัน ประดับลวดลายด้วยกรรมวิธีต่างๆ และเนื้อดินปั้นทำได้บางลง ดังที่พบในสมัยหินใหม่หรือสังคมเกษตรกรรม และยุคโลหะหรือสังคมเมืองเริ่มแรก
จากการที่เครื่องปั้นดินเผามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งในชีวิตประจำวันและในพิธีกรรม ดังนั้นจึงพบเศษเครื่องปั้นดินเผากระจายอยู่ตามแหล่งโบราณคดีเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางชิ้นมีการตกแต่งเขียนลวดลายสวยงามอันสะท้อนให้เห็นถึงคติความเชื่ออันเป็นเหตุให้เกิดพิธีกรรมของกลุ่มชนในยุคนั้นๆด้วยแหล่งที่พบเครื่องปั้นดินเผาสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมีดังนี้
ยุคหินกลาง
ในยุคหินกลาง เป็นสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปี ถึง ๗,๐๐๐ ปี ในยุคนี้ได้พบเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าที่สุดที่ถ้ำผีอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีทั้งที่เป็นภาชนะผิวเรียบและที่มีผิวขัดมัน รวมทั้งมีการตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ อันแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมโฮบิเหียน
ยุคหินใหม่
ยุคหินใหม่ มีอายุประมาณ ๗,๐๐๐-๔,๐๐๐ปีมาแล้ว ยุคนี้ได้พบเครื่องปั้นดินเผาตามแหล่งโบราณคดีในภาคต่างๆ เกือบทุกจังหวัดที่สำคัญอาทิเช่น จังหวัดกาญจนบุรี ลพบุรี นครศรีธรรมราช กระบี่ และพังงาเป็นต้น
สำหรับที่จังหวัดกาญจนบุรี พบที่หมู่บ้านเก่าตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง และที่ถ้ำเขาสามเหลี่ยม ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง ที่จังหวัดลพบุรี พบที่บ้านโคกเจริญ ตำบลบัวชุม และที่เนินคลองบำรุง ตำบลหนองยายโต๊ะ อำเภอชัยบาดาลส่วนที่จังหวัดนครศรีธรรมราชพบที่นพพิตำ อำเภอท่าศาลา และจังหวัดกระบี่พบที่อำเภออ่าวลึก
เครื่องปั้นดินเผายุคหินใหม่นี้มีหลายรูปแบบล้วนมีความประณีต สวยงามด้วยเทคนิคที่ขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน แม้ว่าบางแหล่งยังคงขึ้นรูปอิสระด้วยมือสืบต่อมาก็ตาม รูปแบบของภาชนะมีทั้งหม้อก้นกลม หม้อสามขา และพาน ซึ่งล้วนมีเนื้อดินปั้นบางลง เนื้อดินละเอียดขึ้นและมีสีต่างๆ ทั้งสีดำ สีแดง สีเทา และสีน้ำตาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะส่วนผสมของดินและการเผาภาชนะเหล่านี้มีทั้งแบบเรียบและที่มีการตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ และลายขูดขีด

หม้อสามขา สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหินใหม่ อายุราว ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปี พบที่บ้านเก่า ต.จระเข้เผือก อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
ยุคโลหะ
ยุคโลหะมีอายุระหว่าง ๕,๖๐๐-๑,๗๐๐ ปีมาแล้ว เครื่องปั้นดินเผาในยุคนี้มีความสวยงามมาก บางแหล่งแสดงให้เห็นว่ามีการทำอย่างพิถีพิถันอย่างยิ่ง และทำควบคู่ไปกับการผลิตเครื่องใช้โลหะที่มีทั้งสำริด ทองแดงและเหล็กแสดงถึงความเจริญในเรื่องเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในขณะที่การหล่อโลหะทำได้ดี แต่เครื่องปั้นดินเผากลับไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร มีการตกแต่งแบบเรียบง่ายเช่น ทาน้ำดินสีแดงทั่วไป ไม่เขียนลวดลาย หรือทำขนาดเล็กๆ การตกแต่งเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญมีพบที่โนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่นที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานีบ้านปราสาท ตำบลธารปราสาท อำเภอโนนสูงจังหวัดนครราชสีมา และบ้านดอนตาเพชรอำเภอพนมทวนจังหวัดกาญจนบุรี
เครื่องปั้นดินเผาดังกล่าวจะมีลักษณะพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น อาทิที่บ้านเชียง จะมีการพัฒนาลวดลายตกแต่งภาชนะต่างๆ ด้วย ซึ่งในระยะแรกภาชนะเป็นสีดำ เขียนลาดลายด้วยวิธีขูดขีดลงไปในเนื้อดินปั้น ในระยะต่อมามีการใช้ดินสีแดงเขียนเป็นลายต่างๆ โดยเฉพาะลายก้านขดและในระยะหลังก็มีการตกแต่งน้อยลง เพียงแต่ทาด้วยน้ำดินสีแดงเรียบๆ เท่านั้น สำหรับเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านปราสาท มีรูปแบบที่โดดเด่น คือหม้อมีเชิง ปากผายบานกว้าง

หม้อปากแตร ทาน้ำดินสีแดงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคโลหะ อายุราว ๓, ๐๐๐ ปี พบที่บ้านปราสาท ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา

เครื่องปั้นดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์



เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง
1.เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง(อายุประมาณ5,600-1,800ปี)
เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง เป็นเครื่องปั้นดินเผาของไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ขุดพบได้ที่หมู่บ้านบ้านเชียง จ.อุดรธานี แบ่งออกเป็น 3 สมัย คือ
-สมัยต้น (อายุประมาณ 5,600 - 3,000 ปี)
-สมัยกลาง (อายุประมาณ 3,000 - 2,300 ปี)
- สมัยปลาย (อายุประมาณ 2,300 - 1,800 ปี)

เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงสมัยต้น
เป็นภาชนะดินเผาสีดำ ตกแต่งด้วยลายขูดขีดและลายเชือกทาบ รูปทรงมักเป็น หม้อก้นกลม ปากผายกว้างเชิงสูง มีทั้งชนิดปลาย สอบเข้าและผายออก


เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงสมัยกลาง
ภาชนะส่วนใหญ่มีเนื้อดินสีขาวนวล ไหล่ลู่ ลำตัวกลมและหักเป็นสัน ก้นภาชนะ มีทั้งกลมและแหลม มักไม่มีการตกแต่งลวดลาย แต่บางชิ้นมีการตกแต่งด้วยลายขูดขีด และเขียนลวดลายสีแดงที่บริเวณไหล่ของภาชนะ


เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงสมัยปลาย
รูปทรงของภาชนะมีทั้งชนิดก้นกลมและชนิด มีเชิงสูง ปลายผาย ขอบปากมีสัน มีการตกแต่งด้วยการเขียนลวดลายสีแดง สีที่ใช้เขียนเรียกว่า "สีดินเทศ" ลวดลาย ที่เขียนส่วนใหญ่เป็น ลายเรขาคณิต ลายสี่เหลี่ยม ลายวงกลม ลายก้านขด ลายก้นหอย


เครื่องปั้นดินเผาบ้านปราสาท
2.เครื่องปั้นดินเผาบ้านปราสาท
เครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้ได้มีการขุดพบที่บริเวณบ้านปราสาทใต้ จังหวัดนคร ราชสีมา มีอายุประมาณ 3,000-1,500 ปี ลักษณะเครื่องปั้นดินเผาบ้านปราสาท มีทั้งชนิดที่ตกแต่งและไม่ตกแต่งลวดลาย โดยการตกแต่งอาจจะเป็นลายเชือกทาบ ผิวด้านนอกและด้านในเคลือบด้วยน้ำดินสีแดง ส่วนรูปทรงที่พบเป็นจานหรือคนโท ปากแตร คอแคบสูง ปากกว้างบาน ลำตัวกลมแป้น


อ้างอิง
http://www.thaifossil.com/article?id=10788〈=th
http://guru.sanook.com
http://www.wangdermpalace.com

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 ธันวาคม 2553 เวลา 20:51

    ขอบคุณค่ะ ^^

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ21 พฤษภาคม 2554 เวลา 16:16

    เยี่ยมมากเลยคะ
    หาข้อมูลมาตั้งนานพึ่งเจอข้อมูลที่อะเอียดมาก
    หนูนำไปใช้ประกอบการเรียนตรงเป๊ะเลยคะ
    หนูขอบคุณมากๆๆๆเลยนะคะไม่กลัวจะตอบคำถามไม่ได้อีกแล้วคะ

    ตอบลบ
  3. ยินดีรับใช้ครับ เพื่อการศึกษา

    ตอบลบ
  4. เยี่ยมเลยจะได้ไม่โดนครูโพซี้ดด่า

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ11 กรกฎาคม 2557 เวลา 11:26

    ไม่มีเพลงจะดีกว่า

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ11 กรกฎาคม 2557 เวลา 11:27

    ไม่มีเพลงจะดีกว่า

    ตอบลบ