วรรณคดีสมัยกรุงศรีอยุธยา
กรุงศรีอยุธยามีอายุยาวนานถึง ๔๑๗ ปี ช่วงเวลาที่บ้านเมืองรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ พอที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดวรรณคดีอยู่เฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทั้งในด้านการปกครอง การทหาร ศาสนา และศิลปกรรมในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทางวรรณคดีปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า แต่งมหาชาติคำหลวง เมื่อ พ.ศ.๒๐๒๕ตรงกับรัชกาลสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่วนลิลิตยวนพ่ายก็แต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์พระองค์นี้จึงอาจแต่งในรัชกาลของพระองค์ หรือภายหลังเพียงเล็กน้อย คือ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
นอกจากนี้วรรณคดีสำคัญเรื่องอื่น ๆ เช่น ลิลิตพระลอ โคลงกำสรวล โคลงทวาทศ-มาศและโคลงหริภุญชัย เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำประพันธ์ และถ้อยคำที่ใช้ก็น่าเกิดสมัยร่วมหรือระยะเวลาใกล้เคียงกับมหาชาติคำหลวงและลิลิตยวนพ่ายหลังจากรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ บ้านเมืองไม่สงบสุขเนื่องจากการทำสงครามกับข้าศึกภายนอกและแตกสามัคคีภายในเป็นเหตุให้วรรณคดีว่างเว้นไปเป็นเวลาประมาณหนึ่งศตวรรษ
วรรณคดีเรื่องแรกที่ปรากฏหลักฐานหลังรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ คือ กาพย์มหาชาติ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ ต่อจากนั้นประมาณ ๓๐ ปี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองสามารถเป็นรากฐานให้เกิดวรรณคดีได้อีกระยะเวลาหนึ่งในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ลักษณะวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น
วรรณคดีสำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นส่วนใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพิธีกรรมและพระมหากษัตริย์ จึงมีเนื้อเรื่องคล้ายวรรณคดีสุโขทัยส่วนลักษณะการแต่งต่างกับวรรณคดีสุโขทัยเป็นอย่างมากวรรณคดีในสมัยนี้แต่งด้วยร้อยกรองทั้งสิ้นคำประพันธ์ที่ใช้เกือบทุกชนิด คือ โคลง ร่าย กาพย์ และฉันท์ ขาดแต่กลอนส่วนใหญ่แต่งเป็นลิลิต คำบาลี่สันสกฤตและเขมรเข้ามาปะปนในคำไทยมากขึ้นวรรณคดีสำคัญได้แก่
รัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑
๑.ลิลิตโองการแข่งน้ำ
รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
๒.ลิลิตยวนพ่าย
๓.มหาชาติคำหลวง
วรรณคดีที่สัณฐานว่าแต่งในสมัยอยุธยาตอนต้น ได้แก่
๔.ลิลิตพระลอ
๕.โคลงกำสรวล
๖.โคลงทวาทศมาศ
๑.ลิลิตโองการแข่งน้ำ
ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าอาจแต่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีที่๑ (อู่ทอง) ผู้แต่งคงจะเป็นผู้รู้พิธีพราหมณ์ และรู้วิธีประพันธ์ของไทยเป็นอย่างดี
สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง)เป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงอยุธยา
สมเด็จฯกรมพระยาดำรวราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานส่าสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑เป็นเชื้อสายของพระเจ้าสิริชัยเชียงแสนแห่งแคว้นสิริธรรมราช จึงเป็นต้นวงศ์เชียงราย เป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าอู่ทอง เมื่อ พ.ศ.๑๘๘๗ ได้เป็นเจ้าเมืองอู่ทอง ซึ่งขณะนั้นขึ้นต่อเมืองสุโขทัย ต่อมาเกิดโรคระบาด จึงทรงย้ายราชธานีมาตั้งตำบลหนองโสน แขวงเมืองอโยธยา เมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ ขนานนามใหม่ว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา และพระองค์ได้รับพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๑ ทรงตั้งพระองค์เป็นใหญ่ไม่ขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนับแต่สถาปนาราชธานี
ในรัชกาลนี้ได้รับวัฒนธรรมขอมและพราหมณ์เป็นอันมาก ภาษาไทยจึงเริ่มมีคำเขมรเข้ามาปะปนมากขึ้นมีการประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีศรีสัจปานกาล ตามแบบเขมร ซึ่งถ่ายทอดมาจากพราหมณ์อีกต่อหนึ่ง
ประวัติ ต้นฉบับเดิมที่เหลืออยู่เขียนด้วยอักษรขอม ข้อความที่เพิ่มขึ้นในรัชกาลที่๔ ตามหลักฐานซึ่งรัชกาลที่ ๕ทรงยืนยันไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือน คือ "แทงพระแสงศรประลัยวาต" "แทงพระแสงศรอัคนิวาต" และ "แทงพระแสงศรพรหมมาสตร์"คำประพันธ์ที่ใช้คือโคลงห้าและร่ายโบราณหนังสือเรื่องนี้นับว่าเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของคนไทย ที่แต่งเป็นร้อยกรองอย่างสมบูรณ์แบบ ชื่อเรียกแต่เดิมว่า โองการแช่งน้ำบ้าง ประกาศแช่งน้ำโคลงห้าบ้าง ต้นฉบับที่ถอดเป็นอักษรไทยจัดเป็นวรรคตอนคำประพันธ์ไว้ค่อนข้างสับสน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจ้าอยู่หัว ทรงสอบทานและพระราชวินิจฉัยเรียบเรียงวรรคตอนใหม่
ทำนองแต่ง มีลักษณะเป็นลิลิต คือ มีร่ายกับโคลงสลับกัน ร่ายเป็นร่ายโบราณ ส่วนโคลงเป็นโคลงแบบโคลงห้าหรือมณฑกคติ ถ้อยคำ ถ้อยคำที่ใช้ส่วนมากเป็นคำไทยโบราณ นอกจากนั้นมีคำเขมร และบาลี สันสกฤต ปนอยู่ด้วย คำสันสกฤตมีมากกว่าคำบาลี
ความมุ่งหมาย ใช้อ่านในพิธีถือพระพิพัฒน์สัตยาหรือพิธีศรีสัจปานกาล ซึ่งกระทำตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองสืบต่อกันมาจนเลิกไปเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย ใน พ.ศ.๒๔๗๕
เรื่องย่อ เริ่มต้นด้วยร่ายดั้นโบราณ ๓ บท สรรเสริญพระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหมตามลำดับ ต่อจากนั้นบรรยายด้วยโคลงห้า และร่ายดั้นโบราณสลับกัน กล่าวถึงไฟไหม้โลกเมื่อสิ้นกัลป์แล้วพระพรหมสร้างโลกใหม่ เกิดมนุษย์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การกำหนดวัน เดือน ปี และการเริ่มมีพระราชาธิบดีในหมู่คน แล้วอัญเชิญพระกรรมบดีปู่เจ้ามาร่วมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ตอนต่อไปเป็นการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เรืองอำนาจมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดา อสูร ภูตปีศาจ ตลอดจนสัตว์มีเขี้ยวเล็บเป็นพยาน ลงโทษผู้คิดคดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนผู้ซื่อตรงภักดี ขอให้มีความสุขและลาภยศ ตอนจบเป็นร่ายยอพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน
ตังอย่างข้อความบางตอนสรรเสริญพระนารายณ์โอมสิทธิสธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วฤตยู เอางูปนแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุธมาขี่ส สี่ถือสังขืจักรคธารณีภีรุอวตาร อสุรแลงลาญทักทัศนีย์จรนายฯ แทงพระแสงศรปลัยวาดฯ
กล่าวถึงไฟประลัยกัลป์
นานเอนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้
กล่าวถึงตรงวันเจดอันพลุ่ง น้ำแล้วไข้อดหาย
เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟวาบ จัตุราบบายแผ่นขว้ำ
ชักไตรตรึงษ์เป็นผ้า แลบล้ำสีลอง
อัญเชิญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพรหม เทพยาดา และภูตผีปีศาจ เป็นพยาน
ผู้ใดเภทจงคด ถือขันสรดใบพูตานเสียด มารเฟียดไททศพล ช่วยดู ธรรมารคประเตยก ช่วยดูอเนกกถ่องพระสงฆ์ช่วยดู ขุนหงษทองเกล้าสี่ ช่วยดู ฟ้าฟัดพรีใจยังดู ช่วยดู สี่ปวงผรีหาวแห่ง ช่วยดูฟ้าชรแร่งหกคลอง ช่วยดู ผองผีกลางหาวแอ่น ช่วยดู ฟ้ากระแฉ่นเรืองผยอง ช่วยดู เจ้าผาดำสามเส้า ช่วยดู แสนผีพึงยอมเท้า เจ้าผาดำผาเผือกช่วยดูฯคำสาปแช่งผู้คิดกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดิน
จงเทพยดาฝูงนี้ให้ตายในสามวัน อย่าให้ทันในสามเดือน อย่าให้เคลื่อนในสามปี อย่าให้มีศุขสวัสดิ์ เมื่อใดฯ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจยาก และเป็นคำห้วนหนักแน่น เพื่อให้เกิดความน่าเคารพยำเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดลออ เช่น ตอนกล่าวกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีอำนาจก็สรรหามากล่าวไว้มากมายนอกจากนี้ยังใช้ถ้อยคำประเภทโคลงห้าและร่ายดั้น ซึ่งมีจังหวะลีลาไม่ราบรื่น สะดุดเป็นตอน ๆ ยิ่งเพิ่มความขลังขึ้นอีกเป็นอันมาก จึงนับได้ว่าลิลิตโองการแช่งน้ำเรื่องนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายสำหรับใช้อ่านหรือสวดในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งมีความสำคัญแก่การเพิ่มพูนพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
วรรณคดีเรื่องนี้ มีกำเนิดจากพระราชพิธีในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร และพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงรับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรีสัจปานจากเขมรมาใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองที่ต้องการสร้างอำนาจปกครองของพระเจ้าแผ่นดิน และความมั่นคงของบ้านเมืองในระยะที่เพิ่งก่อสร้างราชอาณาจักร
ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศรีสัจปานกาล เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรงปกครองบ้านเมือบแบบพ่อปกครองลูก ถึงแม้หลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ มีเนื้อความเกี่ยวกับการสบถสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัยผู้เป็นหลานกับเจ้าเมืองน่านผู้ปู่ และถ้อยคำบางตอนคล้ายกับลิลิตโองการแช่งน้ำ แต่ก็เป็นการสาบานระหว่างบุคคลเฉพาะกรณี ไม่ใช่พิธีทางราชการทั่วไปกระทำต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นการทั่วไปอย่างที่กรึงศรีอยุธยา อนึ่งข้อความนี้จารึกไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกับรัชการสมเด็จพระราเมศวรแห่งกรุงรีอยุธยา เป็นช่วงที่กรุงสุโขทัยเสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๑ ถ้าพระราชพิธีสัจปานกาลเคยกระทำที่สุโขทัยก็จะต้องเป็นเวลาภายหลังที่กรุงสุโขทัยตกอยู่ในอำนาจปกครองและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของ กรุงศรีอยุธยาแล้ว
๒.มหาชาติคำหลวง
ผู้แต่ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันแต่ง เมื่อจุลศักราช ๘๔๔ พุทธศักราช ๒๐๒๕ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิปดีที่ ๒ หรือสามพระยา ก่อนเสวยราชย์ พระราชบิดาภิเษกให้เป็นพระมหาอุปราช และโปรดให้เสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก มีอำนาจสิทธิ์ขาดในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้รับราชสมบัติสืบต่อพระราชบิดา ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑ - ๒๐๓๑
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองแก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ทรงแก้ไขการปกครอง โดยแยกทหารและพลเรือนออกจากกัน ฝ่ายทหารมีหัวหน้าเป็น สมุหกลาโหม ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายก ทรงตั้งยศข้าราชการลดลั่นกันตามชั้น เช่น ขุน หลวง พระยา พระ ทรงทำสงครามกับเชียงใหม่ ได้เมืองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๑๗ เป็นเหตุให้เกิดลิลิตยวนพ่าย พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา เสด็จออกผนวชชั่วระยะหนึ่ง ที่วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก การทำนุบำรุงพระศาสนาในรัชกาลนี้ทำให้เกิดมหาชาติคำหลวง
ประวัติ มหาชาติคำหลวงเป็นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทย และเป็นประเภทคำหลวงเรื่องแรก เรื่องเกี่ยวกับผู้แต่งและปีที่ แต่งมหาชาติคำหลวง ปรากฏหลักฐานในเรื่องพงศาวดารฉบับคำหลวงกล่าวยืนยันปีที่แต่งไว้ตรงกับมหาชาติคำหลวงเดิมหายไป ๖ กัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะและนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งซ่อมให้ครอบ ๑๓ กัณฑ์ เมื่อจุลศักราช ๑๑๗๖ พุทธศักราช ๒๓๔๗ ได้แก่ กัณฑ์ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุลพน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์
ทำนองแต่ง แต่งด้วยคำประพันธ์หลายอย่าง คือ โคลง ร่าง กาพย์ และฉันท์ มีภาษาบาลี แทรกตลอดเรื่อง มหาชาติคำหลวงเรื่องนี้เป็นหนังสือประเภทคำหลวงหนังสือคำหลวงมีลักษณะดังนี้
๑.เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าแผ่นดิน หรือเจ้านายชั้นสูง
๒.เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนาและศีลธรรม
๓.ใช้คำประพันธ์หลายประเภท คือโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย
๔.ใช้สวดเข้าทำนองหลวง ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดประดิษฐ์ขึ้นได้
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา และอาจเรียกรอยตามพระพุทธธรรมราชาลิไท ซึ่งพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิพระเรื่อง
เรื่องย่อ แบ่งออกเป็น ๑๓ ตอน ซึ่งเรียกว่ากัณฑ์ดังนี้
กัณฑ์ทศพร เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ต่อจากนั้นเสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ เกิดฝนโบกขพรรษ พระสงฆ์สาวกกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องพระเวสสันชาดก เริ่มตั้งแต่เมื่อกัปที่ ๙๘ นับเป็นแต่ปัจจุบัน พระนางผุสดีซึ่งจะทรงเป็นพระมารดาของพระเวสสันดรทรงอธิฐานขอเป็นมารดาของผู้มีใจบุญ จบลงตอนพระนางได้รับพระ ๑๐ ประการจากพระอินทร์
กัณฑ์หิมพานต์ พระเวสสันดรทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสัญญชัยกับพระนาวผุสดีแห่งแคว้นสีวีราษฎร์ประสูติตรอกพ่อค้าเมื่อพระเวสสันดรได้เวนราชสมบัติจากพระมารดาได้พระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่กษัตริย์แห่งแคว้นกลิงรางราษฎร์ ประชาชนไม่พอใจ พระเวสสันดรจึงถูกเนรเทศไปอยู่ป่าหิมพานต์
กัณฑ์ทานกัณฑ์ ก่อนเสด็จไปอยู่ป่า พระเวสสันดรได้พระราชทานสัตตดกทาน คือ ช้าง ม้า รถ ทาสชาย ทาสหญิง โคนม และนางสนม อย่าง ๗๐๐ กัณฑ์วนประเวสน์ พระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรีพระชายา พระชาลีและพระกันหาพระโอรสพระธิดา เสด็จจากเมืองผ่านแคว้นเจตราษฎร์จนเสด็จถึงเขาวงกตในป่าหิมพานต์
กัณฑ์ชูชก ชูชกพราหมณ์ขอทานได้นางอมิตดาเป็นภรรยา นางใช้ให้ไปขอสองกุมาร ชูชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฎร์ สามารถหลบหลีกการทำร้ายของชาวเมือง พบเจตบุตร ลวงเจตบุตร ให้บอกทางไปยังเขาวงกต
กัณฑ์จุลพน ชูชกเดินทางผ่านป่าตามเส้นทางตามที่เจตบุตรแนะจนถึงทีอยู่ของอัจจุตฤษี
กัณฑ์มหาพน ชูชกลวงอัจจุจฤษี ให้บอกทางผ่านป่าใหญ่ไปยังที่ประทับของพระเวสสันดร
กัณฑ์กุมาร ชูชกทูลขอสองกุมาร ทุบตีสองกุมารเฉพาะพรพักตร์พระเวสสันดร แล้วพาออกเดินทาง
กัณฑ์มัทรี พระนางมัทรีเสด็จกลับมาจากหาผลไม้ที่ป่า ออกติดตามสองกุมารตลอกคืน จนถึงทางวิสัญญีเฉพาะพระพักตร์พระเวสสันดร เมื่อทรงพื้นแล้ว พระเวสสันดรเล่าความจริงเกี่ยวกับสองกุมาร พระนางทรงอนุโมทนาด้วย
กัณฑ์สักกบรรพ พระอินทร์ทรงเกรงว่าจะผู้ที่มาพระนางมัทรีไปเสีย ทรงเปลงเป็นพราหมณ์ชรามาทูลของพระนางมัทรีแล้วฝากไว้ที่พระเวสสันดร
กัณฑ์มหาราช ชูชกเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่สองกุมาร ชูชกได้รับพระราชทานเลี้ยง และถึงแก่กรรมด้วยการบริโภคอาหารมากเกินควร
กัณฑ์ฉกษัตริย์ พระเจ้าสัญญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหา เสด็จไปทูลเชิญพระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับ เมื่อกษัตริย์หกพระองค์ทรงพบกัน ก็ทรงวิสัญญี ต่อฝนโบกขพรรษตก จึงทรงฟื้นขึ้น
กัณฑ์นครกัณฑ์ กษัตริย์ทั้งหกพระองค์เสด็จกลับพระนคร พระเวสสันดรได้ครองราชย์ดังเดิม บ้านเมืองสมบูรณ์พูนสุข
ตัวอย่างบางตอน
นางมัทรีโศกถึงชาลีกัณหา
หํสาว
ดุจหงษโปฏก กระเหว่าเล่านนก พลัดแม่สูญหาย
อุปริปลฺลเล
ตกต่ำติดตม อดนมปางตาย ดุจแก้วแม่หาย ไม่คอยมารดา
เต มิคา วิย อุกกณฺณา
หนึ่งบุตรเนื้อทราย มิโรทกบวย ทรามรักษาเสนหา
สมนฺตามฺมภิธาวิโน
ยกหูชูคอ คอยถ้ามารดา เห็นแม่กลับมา วิ่งเข้า เชอยชม
อานนฺทิโน ปมุทิตา
วิ่งซ้ายวิ่งเข้ามา ชมรอบมารดา แล้วเข้ากินนม
วคฺคมานาว กมฺปเร
ลองเชองเรองไป ให้แม่ชื่นชม ให้ลืมอารมณ์ ดุจสองพงงงา
ตฺยชฺช ปตฺเต น ปสฺสามิ
พระแก้วแม่เอย บุรโพ้นย่อมคอย คอนรับมารดา
ชาลิง กณฺหาชินํ จุโภ
วนนี้ไปไหน ไม่รู้เห็นหา โอ้สองพงงงา กัณหาชาลี
มหาชาติคำหลวง เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับศาสนาโดยตรง เป็นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทยเล่มแรก ที่ปรากฏหลักฐานเหลืออยู่ มีใจความใกล้เคียงกับข้อความที่แต่งเป็นภาษาบาลี แสดงถึงความสามารถในการแปลและเรียบเรียงข้อความ การแทรกบาลีลงไว้มากมายเช่นนี้ ทำให้ฟังยากจนต้องมีการแต่งกาพย์มหาชาติขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มหาชาติคำหลวงทั้งของเดิมและที่แต่งซ่อมใหม่ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตโกสินทร์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่เป็นกวีหลายท่านช่วยกันแต่ง จึงมีสำนวนโวหารและถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้งอยู่มาก แทรกไว้ด้วยรสวรรณคดีหลายประการ เช่น ความโศก ความอาลัยรัก ความน้อยใจ และความงามของธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้ความรู้ทางด้านภาษา ทำให้ทราบคำโบราณคำแผลง และภาษาต่างประเทศ เช่น สันสกฤต และเขมรเป็นต้น
มหาชาติคำหลวงแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนาและความเชื่อในบุญกุสลที่เกิดจากฟังเทศน์เรื่องมหาชาติของคนไทยสืบต่อมาจากสุโขทัย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง การโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ก็เทียบได้พญาลิไททรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง
๓.ลิลิตยวนพ่าย
ผู้แต่ง ไม่ปรากฏ
ประวัติ สันนิษฐานแต่งในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ราว พ.ศ.๒๐๑๗ ซึ่งเป็นปีเสด็จศึกเชียงชื่น แต่ความเห็นอีกประการหนึ่งว่า แต่งในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ (พ.ศ.๒๐๓๔ - ๒๐๗๒) เหตุที่ว่าลิลิตยวนพ่าย อาจแต่งในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ ก็เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและทรงพระปรีชาสามารถทุนะบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองรอยพระราชบิดาก็เป็นได้
คำว่า "ยวน"ในลิลิตเรื่องนี้หมายถึง "ชาวลานนา"คำ "ยวนพ่าย"หมายถึง "ชาวล้านาแพ้"เนื้อเรื่องของลิลิตยวนพ่ายกล่าวชาวลานนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ซึ่งพ่ายแพ้แก่กรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
ทำนองแต่ง แต่งเป็นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่ายดั้นโคลงดั้นบาทกุญชร ร่ายดั้น ๒ บท และโคลงดั้นบทกุญชร ๓๖๕ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อยอพระเกียรติของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสดุดีชัยชนะที่มีต่อเชียงใหม่ในรัชกาลนั้น
เรื่องย่อ ตอนต้นกล่าวนมัสการพระพุทธเจ้าและนำหัวข้อธรรมมาแจกแจงทำนองยกย่องสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถว่า ทรงคุณธรรมข้อนั้น ๆ กล่าวถึงพระราชประวัติ ตั้งแต่ประสูติจนได้ราชสมบัติ ต่อมาเจ้าเมืองเชียงชื่น(เชลียง)เอาใจออกหาง นำทัพเชียงใหม่มาตีเมืองชัยนาท แต่ถูกสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตีแตกกลับไป และยึดเมืองสุโขทัยคืนมาได้ แล้วประทับอยู่เมืองพิษณุโลก เสด็จออกบวชชั่วระยะหนึ่ง ต่อจากนั้นกล่าวถึงการทำสงครามกับเชียงใหม่อย่างละเอียดครั้งหนึ่ง แล้วบรรยายเหตุการณ์ทางเชียงใหม่ ว่าพระเจ้าติโลกราชเสียพระจริต ประหารชีวิตหนานบุญเรืองราชบุตร และหมื่นดังนครเจ้าเมืองเชียงชื่น ภรรยาหมื่นดังนครไม่พอใจ ลอยมีสารมาพึ่งพระบรมโพธิ์สมภารของสมเด็จสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและขอกองทัพไปช่วย พระเจ้าติโลกราชทรงยอทัพมาป้องกันเมืองเชียงชื่น เสร็จแล้วเสด็จกลับไปรักษาเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงกรีธาทัพหลวงขึ้นไปรบตีเชียงใหม่พ่ายไปได้เมืองเชียวชื่น ตอนสุดท้ายสรรเสริญพระบารมีสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถอีกครั้งหนึ่ง
ตัวอย่างข้อความบางตอน
กล่าวถึงการแต่งยวนพ่าย
สารสยามภาคพร้อง กลกานท นี้ฤา
คือคู่มาลาสวรรค ช่อช้อย
เบญญาพิศาลแสดง เดอมกยรติพระฤา
คือคุ่ไหมแส้งร้อย กึ่งกลาง
ยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
กษัตริย์สุราชเรื้อง รศธรรม์
บรรหารยศยอยวน พ่ายฟ้า
สมภารปราบปลยกัลป์ ทุกทวีป
ร้อยพิภพเหลื้องหล้า อยู่เย็น
ร้อยเท้าวรมมรีบเข้า มาทูล ท่านนา
ถวายประทุมทองเปน ปิ่นเกล้า
สํภารพ่อพยวสูรย โสภิต
มอญแลยวนพ่ายเข้า ข่ายบร
ลิลิตยวนพ่าย มีลักษณะเป็นวรรณคดีหรือเฉลิมพระเกียรติกษัตริย์ แต่งขึ้นเนื่องจากความปลาบปลื้มยินดีในพระบารมีของพระมหากษัตริย์ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาต้อนต้นอย่างยิ่ง เพราะบรรยายเรื่องราวต่างๆไว้อย่างละเอียด และแต่งในระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์หรือใกล้เคียงกับเหตุการณ์นั้น จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ
ลิลิตยวนพ่าย มีลักษณะมาจนทุกวันนี้ ยังสมบูรณ์หรือถูกแต่งเหมือนวรรณคดีบางเรื่อง ถ้อยคำที่ใช้ในโบราณและคำสันสกฤตส่วนมาก ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำเหล่านี้ยังไม่ถูกดัดแปลงแก้ไขจากคนชั้นหลัง จึงเป็นประโยชน์แก่การศึกษาด้านภาษาอย่างมาก ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจยาก และเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับการรบทัพจับศึก แต่ลิลิตเรื่องนี้ก็ยังมีลักษณะวรรณคดีดีเด่นเพราะใช้ถ้อยคำไพเราะ โวหารพรรณนาที่ก่อให้เกิดจิตนาภาพ ให้อารมณ์ชื่นชมยินดีในบุญญาธิการของพระเจ้าแผ่นดิน และความรุ่งเรืองของบ้านเมือง อันเป็นลักษณะสำคัญของวรรณคดีประเภทสดุดีความดีเด่นของลิลิตยวนพ่าย ทำให้กวีภายหลัวถือเป็นแบบอย่าง เช่น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ลิลิตตะเลงพ่าย เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
๔.ลิลิตพระลอ
ผู้แต่งและสมัยที่แต่ง เพื่อพิจารณาจากร่ายบทนำเรื่อง ซึ่งกล่าวสดุดีพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงมีชัยแก่ชาวลานนาที่ว่า "ฝ่ายช้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายช้างลาวประลัย ฝ่ายช้างไทยชัยคืนยังประเทศพิศาล"พอสันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาที่แต่งลิลิตพระลอ จะต้องอยู่ภายหลังการชนะศึกเชียงใหม่ครั้งใดครั้งหนึ่ง อาจเป็นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๒๐๑๗)หรือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.๒๒๐๕)
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำประพันธ์ ลิลิตพระลอแต่งด้วนลิลิต ซึ่งเป็นลักษณะคำประพันธ์ที่นิยมใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตยวนพ่าย ส่วนในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมักแต่งโคลงฉันท์เป็นส่วนมาก เช่น โคลงเฉลิมพระเกีรยติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมุทรโฆษคำฉันท์ และอนิรุทธ์คำฉันท์ลิลิตพระลอยังใช้ภาษาเก่ากว่าภาษาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น คำ "ชิ่นแล"และคำ "แว่น"ซึ่งเป็นคำทีมีใช้ในมหาชาติคำหลวงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากนี้หนังสือจินดามณี ของพระโหราธิบดี สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ยกโคลงในลิลิตพระลอเป็นตัวอย่างโคลงสี่สุภาพที่ว่า
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฦาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
จากเหตุผลดังกล่าวพอสรูปได้ว่า ลิลิตพระลอ จะต้องแต่งก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพิจารณาโคลงบอกผู้แต่ง สองบทท้ายเรื่องที่ขึ้นต้นว่า "จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์"และ "จบเสร็จเยาวราชบรรจง"ทรงสันนิษฐานว่าลิลิตพระลออาจแต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน ในขณะที่ผู้แต่งยังเป็นพระมหาอุปราช ต่อมาพระมหาอุปราชพระองค์นั้นได้รับรัชทายาทเป็นพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อาจเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิปดีที่ ๓ สมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ หรือ สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรก็ได้
ส่วนเหตุผลที่ว่า ลิลิตพระลอแต่งในสมัยพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากสันนิษฐานคำ "มหาราชเจ้านิพนธ์"และ"สมเด็จเยาวเจ้าบรรจง"ในโคลงสองบทดังกล่าวว่า หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ และเจ้าฟ้าอภัยทศพระราชอนุชาทรงเขียน
ทำนองแต่ง เป็นคำประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพเป็นส่วนใหญ่ บางโคลงมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นและโคลงโบราณ และร่ายบางบท เป็นร่ายโบราณ และร่ายดั้น
ความมุ่งหมาย แต่งถวายพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อให้เป็นที่สำราญหฤทัย
เรื่องย่อ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอกษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้องพระทัยพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกรกษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรยพระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปูเจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวงเมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดีมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้งนางขวัญพระพี่เลี้ยงพระลอทรงเสี่ยวน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงผืนพระทัยเสด็จต่อไป ไก่ผีของปูเจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายขวัญและนายแก้วไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรยออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วและนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระเพื่อนพระแพงท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการอภิเษกพระลอกับพระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาลพระลอ อ้างรับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระอพงและพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมดท้าวพิชัยพิษณุกรทรงพระพิโรธพระเจ้าย่าและทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์สาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองกัลเป็นไมตรีต่อกัน
ตัวอย่างข้อความบางตอน
บทโศก
๑.พระนางบุญเหลือทรงรำพันเมื่อพระลอทูลลาไปเมืองสรอง
คงชีพหวังได้พึ่ง ภูมี พ่อแล
ม้วยชีพหวังฝากผี พ่อได้
ดังฤาพ่อจักลี- ลาจาก อกนา
ผีแม่ตายจักได้ ฝากให้ใครเผา
๒.ข้าราชการและประชาชนราษฎร์คร่ำครวญตอนพระลอลาจากเมือง
เสียงโหยเสียงไห้มี เรือนหลวง
ขุนหมื่นมนตรีปวง ป่วยช้ำ
เรือนราษฎณ์ร่ำตีทรวง ทุกข์ทั่ว กันนา
เมืองจะเย็นเป็นน้ำ ย่อมน้ำตาครวญ
บทพรรณนาความรัก
๑.ระหว่างชู้คู่ครอง คู่ครองกับแม่ พระลอคร่ำครวญที่แม่น้ำกาหลง
ร้อยชู้ฤาเท่าเนื้อ เมียตน
เมียแล่พันฤาดล แม่ได้
ทรงครรภ์คลอดเป็นคน ฤาง่า เลยนา
เลียงยากนักท้าวไท้ ธิราชผู้มีคุณ
๒.ชู้รัก พระลอตรัสต่อพระเพื่อนพระแพง
เมืองกว้างช้างม้าซู่ ละเสีย อ่อนเอย
เสียแม่เสียเมียมา สู้น้อง
เสียสนมดุจดวงพเยีย งามแง่ งามนา
มาแต่ตัวเข้าข้าง ข่ายท้าวทั้งสอง
พี่พบน้องเพี้ยงแต่ ยามเดียว
คือเชือกผสมสามเกลียง แฝดฝั้น
ดั่งฤาจะพลันเหลียว คืนจาก เรียมนา
เจ้าจากเรียมจักกลั้น สวากลั้นใจตาย
คติธรรม
๑.พระลอตรัสต่อพระนางบุญเหลือตอนที่เสด็จออกจากเมือง
ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บุญบาปแล้ ก่อเกื้อรักษา
๒.นายแก้วนายขวัญกราบทูลเตือนพระสติแก่พระลอ ตอนเสด็จมาถึงชนบททอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศอันทุรกันดาร
พระเอยอาบน้ำขุ่น เอาเย็น
ปลารผอกหมกเหม็นยาม ยากเคี้ยว
รุกรุยราคจำเป็น ปางเมื่อ แคลนนา
อดอยู่เยี่ยวดิ้วเดี่ยว อยู่ได้ฉันใด
ยามไร้เด็ดดอกหญ้า แซมผม พระเอย
หอมบ่หอมทัดดม ดั่งบ้า
สุกรมลำดวนชม เชยกลิ่น พระเอย
หอมกลิ่นเรียมโอ้อ้า กลิ่นแก้วติดใจ
๓. นายแก้วนายขวัญนางรื่นนางโรยกล่าวเตือนสติต่อกัน เพื่ออดใจไม่แสดงความรักต่อกันในตำหนับของพระเพื่อนพระแพง เป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและสถานที่สำคัญในตำหนักพระเพื่อนพระแพง เป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อเจ้านายและสถานที่สำคัญ
เรานี้เราเผ่าผู้ ภักดี
ผิดเท่าธุลีกลัว เกลียดใกล้
ผิผิดกึ่งเกศี แหน่งว่า ตายนา
ดีกว่าเป็นคนให้ ท่านชี้หลังตน
วรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้ตัดสินให้ลิลิตพระลอเป็นยอดแห่งวรรณคดีประเภทลิลิตวรรณคดีเรื่องนี้มีลักษณะเด่นหลายประการ โคลงเรื่องประกอบด้วยเหตุการณ์ที่ตื่นเต้น สะเทือนใจตลอดมีตอนรัก ตอนสยดสยองการใช้ถ้อยคำและโวหารนับว่าคมคายยิ่งนัก จึงเป็นที่นิยมตลอดมา
ลิลิตพระลอได้เค้าเรื่องมาจากนิทานพื้นเมือง แสดงถึงสภาพความเป็นไปของสังคมในเวลานั้นอย่างเด่นหลายประการในด้านการปกครองแสดงให้เห็นการปกครองแบบนครัฐ คือ เมือง เล็ก ๆ ตั้งเป็นอิสระแก่กัน อันเป็นลักษณะที่ปรากฏทั่วไปก่อนสมัยสุโขทัย และกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยดินแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากนี้เรื่องพระลอยังเป็นตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศตกอยู่แก่ประมุขผู้เดียวเกี่ยวกับลัทธิความเชื่อของสังคมก็ปรากฏเด่นชัดในด้านภูตผีปีศาจ เสน่ห์ยาแฝดโชคลาง ความฝัน และความชื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินพระพี่เลี้ยงทั้ง ๔ ดังปรากฏในสุภาษิตพระร่วง ที่ว่า "อาสาเจ้าจนตัวตาย"สภาพสังคมทั่วไปที่เห็นได้จากวรรณคดีเรื่องนี้ได้แก่ การใช้ช้างทำสงครามและเป็นพาหนะ ความนิยมและขับร้อง และการบรรจุพระศพกษัตริย์ลงโลงทองแทนพระโกศอย่างในสมัยหลัง ลิลิตพระลอเป็นที่นิยมยกย่องมาช้านาน เช่น พระโหราธิบดีสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ยกโคลงที่แต่งถูกแผนบังคับและมีความไพเราะจับใจอันเป็นคำของพระเพื่อนพระแพงตรัสแก่พระพี่เลี้ยงไปไว้เป็นแบบอย่างโคลงสี่สุภาพในหนังสือจินดามณี โคลงดังกล่าวคือ
เสียงฦาเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฦาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีแบบฉบับคือเป็นแบบครูที่วรรณคดีในสมัยหลังนิยมเลียน
อย่างในการพรรณนาและบรรยายขยายความ เช่น ลิลิตเพชรมุงกูฏและลิลิตตะเลงพ่าย
๕.โคลงกำสรวล
ผู้แต่ง เคยเชื่อกันมาแต่เดิมว่าศรีปราชญ์ ผู้แต่งโคลงกำสรวลถูกเนรเทศไปนครศรีธรรมราช ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และหญิงที่ศรีปราชญ์คร่ำครวญอาลัย คือ พระสนมศรีจุฬาลักษณ์ แต่มีผู้ออกความเห็นค้านความเชื่อดังกล่าวว่าเรื่องโคลงกำสรวล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวถึงเส้นทางการเดินทางจากกรุงศรีอยุธยาไปสุดแค่จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ ทั้งไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ร้อนและมูลที่ต้องเนรเทศ เมื่อพิจารณาถึงลักษณะคำประพันธ์และถ้อยคำสำนวนภาษาที่ใช้โคลงกำสรวลน่าจะแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น
ทำนองแต่ง แต่งด้วยโคลงตั้งบาทกุญชร บทแรกเป็นร่ายดั้น มีร่าย ๑ บท โคลงดั้น ๑๒๙ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อแสดงความอาลัยคนรัก ซึ่งผู้แต่งต้องจากไปเรื่องย่อ เริ่มด้วยร่ายสดุดีกรุงศรีอยุธยาว่ารุ่งเรืองงดงาม เป็นศูนย์กลางแห่งพุทธศาสนา ราษฎร์สมบูรณ์พูนสุข ต่อจากนั้นกล่าวถึงการที่ต้องจากนางแสดงความห่วงใย ไม่แน่ใจว่าควรจะฝากนางไว้กับผู้ใดเดินทางผ่านตำบลหนึ่ง ๆ ก็รำพันเปรียบเทียบชื่อตำบลเข้ากับความอาลัยที่มีต่อนาง ตำลบที่ผ่าน เช่น บางกะจะ เกาะเรียน ด่านขนอน บางทรนาง บางขดาน ย่านขวาง ราชคราม ทุ่งพญาเมือง ละเท เชิงราก นอกจากนี้ได้นำบุคคลในวรรณคดีมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในชีวิตของตน เกิดความทุกข์ระทมที่ยังไม่พบได้นางอีกอย่างบุคคลในวรรณคดีเหล่านั้น โดยกล่าวถึง พระรามกับนางสีดา พระสูตรธนู(สุธนู)กับนางจิราประภา และพระสมุทรโฆษกกับนางพิษทุมดีว่าต่างได้อยู่ร่วมกันอีก ภายหลังที่ต้องจากกันชั่วเวลาหนึ่ง การพรรณนาสถานที่สิ้นสุดลงโดยที่ไม่ถึงนครศรีธรรมราช
ตัวอย่างข้อความบางตอน
ชมเมือง
อยุธยายศยิ่งฟ้า ลงดิน แลฤา
อำนาจบุญเพรงพระ ก่อเกื้อ
เจดียลอออินทร ปราสาท
ในทาบทองแล้วเนื้อ นอกโสม
พรายพรายพระธาตุเจ้า จยนจันทร์ แจ่มแฮ
ไตรโลกยเลงคือโคม ค่ำเช้า
พิหารรบยงบรรพ รุจิเรข เรืองเฮ
ทุกแห่งห้องพระเจ้า น่งงเนือง
ฝากนาง
โฉมแม่จกฝากน่านน้ำ อรรณพ แลฤา
อินทรท่านทอดโฉมเอา สู่ฟ้า
โฉมแม่จกฝากดิน ดินท่าน แล้วแฮ
ดินฤาขดดเจ้าเหล้า สู่สํสองสํ
โฮมแม่ฝากน่านน้ำ อรรณพ แลฤา
ยยวนาคเชอยชํอก พี่ไหม้
โฉมแม่รำพึงจบ ไตรโลก
โฉมแม่ใครสงวนได้ เท่าเจ้าสงวนเอง
โคลงกำสรวลเป็นงานนิพนธ์เรื่องเอกของศรีปราชญ์ มีคุณค่าทางวรรณคดีอย่างยอดเยี่ยมถ้อยคำสำนวนโวหารที่คมคายจับใจแสดงความเป็นต้นคิดหลายตอนทำให้กวีรุ่นหลังพากันเลียมแบบอย่าง เช่น ตอนชนเมือง และตอนฝากนาง นอกจากนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ บางเรื่อง เช่น รามเกียรติ์ สมุทรโฆษ ในด้านภาษา โคลงกำสรวลใช้คำที่เป็นภาษาโบราณ ภาษาถิ่น ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตและภาษาเขมรอยู่มาก
โคลงกำสรวลแสดงให้เห็นความวิจิตตระการของปราสาทราชวังและวัดวาอารามของกรุงศรีอยุธยา ความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านการแต่งกาย อาหารการกิน การเล่นรื่นเริง และสภาพภูมิศาสตร์เส้นทางการเดินทางของกวี
๖.โคลงทวาทศมาส
ผู้แต่ง พระเยาวราช ขุนพรมมนตรี ขุนกวีราช ขุนสารประเสริฐ
ประวัติ หนังสือนี้มีการสันนิษฐานผู้แต่งต่างกันไป เช่น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่าผู้แต่ง คือ ขุนศรีกวีราช ขุนพรหมมนตรี และขุนสารประเสริฐ บางท่านว่า พระเยาวราช ทรงนิพนธ์ ที่เหลือช่วยแก้ไข ส่วนพระยาตรังคภูมิบาล และนายนรินทรธิเบศร กล่าวแต่เพียงสามคนร่วมกันแต่ง
ทำนองแต่ง โคลงดั้นวิริธมาลี
ความมุ่งหมาย มีผู้สันนิษฐานว่าคงแต่งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน มิได้จากนางจริงโดยสมมติเหตุการณ์ขึ้น
เรื่องย่อ โคลงเรื่องนี้ได้ชื่อว่าทวาทศมาส เพราะพรรณนาถึงความรักความอาลัยรัก และพิธีกรรมต่าง ๆ ในรอบสิบเดือน ทวาทศมาสแปลว่าสิบสองเดือน ตอนต้นสรรเสริญเทพเจ้า และพระเจ้าแผ่นดิน ชมความงามของนางที่ต้องจากมา กล่าวถึงบุคคลในวรรณคดี เช่น พระอนิรุทธ์ พระสมุทรโฆษ พระสุธนู พระสูตรธนู แล้วแสดงความน้อยใจที่ตนไม่อาจไปอยู่ร่วมกับนางอีกอย่างบุคคลเหล่านั้น ตอนต่อไปนำเหตุการณ์ต่าง ๆ และลมฟ้าอากาศในรอบปีหนึ่งๆ ตั้งแต่เดือน ๕ ถึง เดือน ๔ มาพรรณนา เดือนใดมีพิธีอะไรก็นำมากล่าวไว้ละเอียดลออ เช่น เดือนสิบเอ็ดมีพิธีอาศวยุช เดือนสิบสองมีพิธีจองเปรียงลอยพระประทีป เดือนยี่ประกอบพิธีตรียัมปวาย และเดือนสี่กระทำพิธีตรุษ เป็นต้น ต่อจากนั้นถามข่าวคราวของนางจาก ปี เดือน วัน และยาม ขอพระเทพเจ้าให้ได้พบนาง ตอนสุดท้ายกล่าวสรรเสริญพระบารมีพระเจ้าแผ่นดิน
วรรณคดีเรื่องนี้ นอกจากประกอบด้วยรสกวีนิพนธ์ดังกล่าวมาแล้ว ยังให้ความรู้เกี่ยวกับขนบประเพณี และสภาพความเป็นอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างละเอียดแจ่มแจ้ง โดยบรรยายสภาพดินฟ้าอากาศและกิจพิธีต่าง ๆ ในแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ เช่น รามเกียรติ์ อนิรุทธ์ สมุทรโฆษ สุธน สูธนู เป็นต้น
๗.โคลงหริภุญชัย
ผู้แต่งสันนิษฐานทีผู้แต่งคนหนึ่ง อาจชื่อทิพแต่งไว้เป็นภาษาไทยเหนือ ต่อมามีผู้ถอดออกมาเป็นภาษาไทยกลางอีกตอนหนึ่ง
ประวัติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่าอาจเป็นประมาน พ.ศ.๒๑๘๐ หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะที่พระพุทธสิหิงค์ยังประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ราวศักราชสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และกวีทางใต้คงนำมาดัดแปลงราวศักราชสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ศาสตราจารย์ ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษาโคลงเรื่องนี้โดยเทียบกับต้นฉบับภาษาไทยเหนือที่เชียงใหม่และลงความว่าจะแต่งขึ้นในสมัย พ.ศ.๒๐๖๐ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิปดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเวลาที่พระแก้วมรกตยังอยู่ที่เจดีย์เชียงใหม่ เนื่องจากนิราศเรื่องนี้กล่าวถึงพระแก้วมรกตไว้ด้วยทำนองแต่ง เดิมแต่งไว้เป็นโคลงไทยเหนือ ต่อมามีผู้ถอดเป็นโคลงสุภาพ
ความมุ่งหมาย ผู้แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อบรรยายความรู้สึกที่ต้องจากหญิงรักไปนมัสการพระธาตุหริภญชัย ที่เมืองหริภุญชัย(ลำพูน)ก่อนออกเดินทางไปนมัสการลาพระพุทธสิหิงค์ขอพระพระมังราชหรือ พระมังรายซึ่งสถิต ณ ศาลาเทพารักษ์ นมัสการลาพระแก้วมรกต เมื่อเดินทางพบสิ่งใดหรือตำบลใดก็พรรณนาคร่ำครวญรำพันรักไปตลอด จนถึงเมืองหริภุญชัยได้นมัสการพระธาตุ สมความตั้งใจ บรรยายพระธาตุ งานสมโภชพระธาตุ ตอนสุดท้ายลาพระธาตุกลับเชียงใหม่ นอกจากนี้วรรณคดีเรื่องนี้ยังเป็นหลักฐานยืนยันถึงที่ตั้งปูชนียสถาน และโบราณวัตถุที่เชียงใหม่และลำพูน กล่าวถึงการเล่นมหรสพต่างๆ ในสมัยโบราณ และวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ เช่น สุธนู สมุทรโฆษ พระรถเมรี เป็นต้น
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับความสำคัญของโคลงหริภุญชัย ไว้ในฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๗ ว่า "อาจเป็นต้นแบบอย่างของนิราศที่แต่งเป็นโคลงและกลอนกันในกรุงศรีอยุธยาตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้ามิได้เป็นแบบอย่างก็เป็นนิราศชั้นเก่าที่สุด"
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย ก่อนยุคทองแห่งวรรณคดี
เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแล้ว สมเด็จพระรามาธิปดีที่๒เสวยราชย์ต่อมาเป็นเวลาถึง ๔๐ ปี (พ.ศ.๒๐๓๒-๒๐๗๒)บ้านเมืองสงบสุขและศิลปกรรมเจริญมากสันนิษฐานว่าวรรณคดีสำคัญบางเรื่องเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้หลังจากวรรณคดีได้ว่างเว้นไปเป็นเวลานานเกือบร้อยปีเนื่องจากบ้านเมืองไปปกติ ต้องทำสงครามกับพม่า เริ่มแต่รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช จนเสียกรุงแก่พม่าในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราชถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้เอกราชได้ก็ต้องทำสงครามขับเคี่ยวกับพม่าและเขมรตลอดรัชกาล นอกจากนี้เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถก็เกิดความไม่สงบสุขภายใน พระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ คือ พระศรีศิลป์ ทรงชิงราชสมบัติปลงพระชนม์เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคคย์แล้วขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม กษัตริย์พระองค์นี้ผนวชมาก่อน ได้สมณศักดิ์เป็นที่พระพิมลธรรม จึงเอาพระใส่ในพระพุทธศาสนา และทรงพระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ นับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกในสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมแล้วบ้านเมืองก็เกิดความวุ่นวายภายในอีก สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงชิงราชสมบัติจากพระราชโอรสของพระเจ้าทรงธรรม แล้วทรงปรายดาภิเภกเป็นกษัตริย์ต่อในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีส่วนทำลายวรรณคดีของชาติ กล่าวคือพระเจ้าลูกเธอฝ่ายในพระองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ เชื่อกันว่าต้องคุณ จึงเกิดเผาตำราไสยศาสตร์ เพราะเกรงจะเกิดโทษ เป็นเหตุให้วรรณคดีสำคัญต่าง ๆพลอยถูกทำลายไปด้วย
ยุคทองแห่งวรรณคดี
รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้รับยกย่องว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดี เพราะมีนักปราชญ์ราชกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมายในเวลาเพรียวรัชกาลเดียวนี้ นับแต่องค์ประมุข คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงบุคคลชั้นผู้น้อยทั้งชายหญิง เช่น นาประตู ต่างพากันสนใจวรรณคดีและสามารถสร้างสรรค์วรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง ราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นที่ประชุมกวีนักปราชญ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เสวยราชย์ระหว่าง พ.ศ.๒๑๙๙ ถึง พ.ศ.๒๒๓๑ พระองค์ทรงพระปรีชาสมารถในการปกครอง และทรงปราดเปรื่องในการกวี กรุงศรีอยุธยาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดอีกช่วงเวลาหนึ่ง มีการทำสงคราม รบชนะเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๒๐๕ ต่อจากนั้นบ้านเมืองก็สงบราบคาบตลอดรัชกาล ทรงเวลาทะนุบำรุงบ้านเมือง ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมให้เจริญรุ่งเรืองด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศได้มีชนชาติต่างศาสนาเข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนามากเป็นพิเศษ เช่น ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงส่งราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส และทรงแต่งตั้งชาวกรีกผู้หนึ่งเป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทรงสนพระทัยความเจริญอย่างยุโรป เช่น โปรดฯให้มีประปาที่พระราชวังลพบุรี คณะสอนศาสนาคริสต์ ก็ได้รับพระราชทานเสรีภาพละพระบรมราชานุเคราะห์ ให้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้อย่างกว้างขวาง โดยตั้งโรงพยาบาลรักษาคนไข้ และตั้งโรงเรียนสอนหนังสือแก่เด็กไทยควบคู่กับศาสนาคริสต์ การเกี่ยวข้องกับฝรั่งเศสดังกล่าวมีส่วนทำให้คนไทยตื่นตัวกระตือรือร้นหันมาสนใจหนังสือไทยพุทธศาสนาของตนเองมากขึ้น หนังสือเรียนภาษาไทยเล่มแรก คือ จินดามณี ก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
๑.ความเจริญของบ้านเมือง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถและทรงชุบเลี้ยงข้าราชกาลที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น นักรบ นักการทูต และสถาปนิก ทั้งที่เป็นคนไทยและชาวต่างประเทศ เมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า สมบูรณ์พูนสุขประกอบกับความสนพระทัยในทางวรรณคดีเป็นพิเศษของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วรรณคดีอย่างยิ่งขึ้นไปด้วย
๒.ความตื่นตัวของคนไทย ในรัชกาลนี้ยุโรปเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์เป็นอันมากคนไทยจึงต้องมาตื่นตัวหันมาสนใจศึกษาภาษาและศาสนาของตนเอง
กวีและวรรณคดีที่สำคัญ ก่อนยุคแห่งวรรณคดี
๑. สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
- กาพย์มหาชาติ
กวีและวรรณคดีที่สำคัญ ยุคทองแห่งวรรณคดี
๑. พระมหาราชครู
- เสือโคคำฉันท์
- สมุทรโฆษคำฉันท์(ต้อนต้น)
๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
- สมุทรโฆษคำฉันท์(ต่อจากของพระมหาราชครู)
- โคลงพาลีสอนน้อง
- โคลงทศรถสอนพระราม
- โคลงราชสวัสดิ์
๓. พระโหราธิบดี
- จินดามณี
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา(ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ)
๔. ศรีปราชญ์
- อนิรุทธ์คำฉันท์
- โคลงเบ็ดเตล็ด
๕. พระศรีมโหสถ
- กาพย์ห่อโคลง
- โคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
- โคลงอักษรสาม
- โคลงนิราศนครสวรรค์
๖. ขุนเทพกวี - ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
๑.กาพย์มหาชาติ
ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงพระนามเดิมว่า พระศรีศิลป์ เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเอกาทศรถ ก่อนได้ราชสมบัติผนวชอยู่วัดระฆัง ๘ พรรษา ได้สมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม มีสมัครพรรคพวกมาก แย่งราชสมบัติแล้วปลงพระชนมเจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาได้ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์เมื่อ พ.ศ.๒๑๖๓ อยู่ในราชสมบัติ ๘ ปี
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงใฝ่พระทัยในพระพุทธศาสนา รับสั่งให้ค้นหาพระพุทธบาทจนพบที่ไหล่เขาเขตเมืองสระบุรีและโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปสวมรอยพระพุทธบาทนั้นไว้ นอกจากนี้ยังได้พระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ
ประวัติ พระพงศาวดารยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระราชนิพนธ์ "พระมหาชาติคำหลวง"เมื่อ จ.ศ.๙๘๙พ.ศ.๒๑๗๐ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาราชนุภาพทรงสันนิษฐานว่า หมายถึงกาพย์มหาชาติ แต่ต้นฉบับที่เหลือตกทอดมาไม่ครบทุกกัณฑ์
ทำนองแต่ง แต่งด้วยร่ายยาวมีคาถาบาลีแทรกเป็นตอนๆเพื่อให้ฟังเรื่องติดต่อกันได้สะดวก ความมุ่งหมาย ใช้เทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาฟังเรื่องย่อ เช่นเดียวกับมหาชาติคำหลวงกาพย์มหาชาติมีทำนองแตกต่างกับมหาชาติคำหลวง คือ ใช้ คำประพันธ์ประเภทร่ายยาวอย่างเดียว และวิธีแปลภาษาบาลีแตกต่างกันคือ มหาชาติยกคาถาบาลีมาวรรคหนึ่งแล้วแปลเป็นภาษาไทยวรรคหนึ่ง สลับกันไป แต่กาพย์มหาชาติยกคาถาไว้ตอนหนึ่ง แล้วจึงแปลภาษาไทยให้เนื้อความติดต่อกันยาว ๆ เพื่อฟังเข้าใจได้สะดวกถ้อยคำสำนวนที่ใช้เรียบเรียงมหาชาติเป็นภาษาง่าย ๆ ไม่สู้มีศัพท์โบราณ แต่อย่างไรก็ดี กาพย์มหาชาติยังมีเนื้อความยืดยาวเกินไป ไม่อาจเทศน์ในวันเดียวกัน จึงเป็นการขัดกับความเชื่อของผู้ฟัง ซึ่งเชื่อว่าจะต้องฟังให้จบในวันเดียว จึงจะได้อานิสงส์แรง เกิดทัศน์ศาสนาพระศรีอริย์ เป็นเหตุให้กาพย์มหาชาติเสื่อมความนิยมไป ต่อจากนั้นจึงมีการแต่งมหาชาตสำหรับเทศน์ให้จบใน ๑ วัน ขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน ตามเรียกกันว่า"มหาชาติกลอนเทศน์"ตัวอย่างข้อความบางตอนตอนชูชกต่อว่าพระเวสสันดรเมื่อไม่พบสองกุมาร
โภ เวส์สัน์ดร ดูกรมหาเวสสันดรดาบสผู้ทรงพรตพฤธี นามชื่อว่าฤาษีย่อมทรงสัตว์ ให้ม้วยมุดเป็นบรมรถไม่มุสา นี้มาเสียซึ่งสัจจาไม่จริง เดิมดูนี้เห็นเป็นยวดยิ่ง จะยกอดพระบารมี มาตรออกปากขอพระชาลีกัณหา ก็ให้โดยปรีดาโดยด่วน แล้วเชิญชวนให้ข้าท่าท้วงนาง ครั้นขัดขวาง ก็ยอยกยุให้ไปยังยังพระเจ้าปู่งดงามงงเป็นพะวงพะวักแล้วลอบลักดูหน้า ให้คิ้วตาเตือนพระลูกน้อย เธอทำเชิงเฉยเมยเป็นไม่รู้เห็น ตกจะล่วงกันเล่น พบให้เลื่อยฤาฉะนี้ประการใดในโลกนี้ที่จะกล่าวมุสาวาทีเทียมเท่า ถึงพระเวสสันดรเจ้าองค์นี้ก็เป็นว่ามิได้แล้วแล
๒.เสือโคคำฉันท์
ผู้แต่ง พระมหาราชครู สันนิษฐานว่ามีเชื้อสายพราหมณ์เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรแด่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชอาจดำรงตำแหน่งพระมหาราชครูฝ่ายลูกขุน ณ.ศาลาหลวงหรือพระมหาราช
ประวัติ สันนิษฐานว่าแต่งก่อนสมุทรโฆษคำฉันท์ โดยนำเค้าเรื่องมาจากปัญญาชาดก
ทำนองแต่ง แต่งด้วยฉันท์และกาพย์ แต่มีจำนวนฉันท์และกาพย์น้อยชนิดกว่าสมุทรโฆษคำฉันท์
ความมุ่งหมาย เพื่อสอนคติธรรม
เรื่องย่อ เริ่มต้นกล่าวสรรเสริญคุณเทวดา กษัตริย์ และพระรัตนตรัย แล้งดำเนินเรื่องว่าเสือแม่ลูกอ่อนและโคนมแม่ลูกอ่อนอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งแม่เสือออกไปหาอาหาร ลูกโคสงสารจึงบอกแม่ให้นมแก่ลูกเสือ ลูกเสือและลูกโคจึงเริ่มรักกันอย่างพี่น้อง แม่เสือสาบานว่าจะไม่ทำลูกโค แต่แม่เสือไม่รักษาคำสัตย์กินแม่โคเสีย ลูกเสือและลูกโคจึงช่วยกันประหารแม่เสือ แล้วชวนกันไปหากินจนพบพระฤาษีพระฤาษีเมตตาชุบให้เป็นคน ลูกเสือเป็นพี่ได้ชื่อว่า พหลวิไชย ลูกโคเป็นน้องชื่อว่าคาวี พระฤาษีอวยพรและมอบพระขรรค์วิเศษให้ ทั้งสองจึงลาฤาษีไปเมืองมคธ พระคาวีได้ฆ่ายักษ์ที่คอยทำร้ายชาวเมืองนั้นตาย ได้นางสุรสุดา ราชธิดาท้าวมคธ แต่พระคาวีถวายแด่พระพี่ชายแล้วออกเดินทางต่อ ไป ต่างฝ่ายต่างเสี่ยงบัวคนละดอก เมื่อไปถึงดมืองร้างเมืองหนึ่งพบกลองใหญ่ตีไม่ดัง ผ่าดูพบนางจันทราผู้ผมหอมธิดาท้าวมัทธราชและนางแก้วเกษร แห่งรมนคร ได้ทราบความจากนางว่านกอินทรีย์ใหญ่คู่หนึ่งบินมากินชาวเมืองตลอดจนพ่อแม่ นางรอกชีวิตได้ก็เพราะกลองใบนั้น พระคาวีปราบนกอินทรีด้วยพระขรรค์วิเศษและได้นางจันทรเป็นชายา
วันหนึ่งนางจันทรลงสรงในแม่น้ำ ใส่ผมหอมในอบแล้วลอยน้ำไป ท้าวยศภูมิ ผู้ครองเมืองพันธวิไสยเก็บได้ หลงใหลผมหอมนั้น นางทาสีอาสานำนางมาถวาย โดยออกอุบายลวงถามความลับเกี่ยวกับพระขรรค์จากนางจันทร ครั้นทราบว่าพระคาวีถอดพระชนม์ไว้ในพระขรรค์ จึงนำพระขรรค์ไปเผาไฟ พระคาวีสลบไป แล้วนางทาสีพานางจันทรไปถวายท้าวยศภูมิ แต่ไม่อาจเข้าใกล้นางได้เพราะร้อนเป็นไฟ ด้วยอำนาจความภักดีที่มีตอพระคาวี
เมื่อพระพหลวิไชยเห็นบัวอธิฐานเหี่ยวลงเป็นลางร้ายจึงตามหาร่างพระคาวี และพบพระขรรค์ในกองไฟ มาชำระล้างวางบนองค์พระคาวี พระคาวีพื้นขึ้นแล้ว พากันออกตามหานาวจันทรถึงเมืองท้าวยศภูมิ พระพหลวิไชยแปลงเป็นพระฤาษีอาสาชุบท้าวยศภูมิให้เป็นหนุ่มแล้วฆ่าเสียเอาพระคาวีออกมาแทนอ้างว่าชุบตัวเป็นหนุ่มได้สำเร็จ พระคาวีได้อภิเษกสมรสกับนางจันทรและได้ครองเมืองพันธไสยสืบมา เสือโคคำฉันท์เป็นหนังสือประเภทฉันท์เรื่องแรกที่จบสมบูรณ์ ชนิดของฉันท์ที่ใช้แต่งไม่มีมากและโคลงไม่เคร่งครัดตามแผนบังคับ นอกจากนี้มีกาพย์ชนิดต่าง ๆ แต่งอยู่ด้วย ถ้อยคำสำนวนเข้าใจง่ายกว่าสมุทรโฆษคำฉันท์ เรื่องนี้ได้ต้นเค้ามาจากปัญญาสชาดก แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงการกลับมาของบุคคลในเรื่องอย่างชาดก ต่อมาในรัตนโกสินทรพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องคาวีเรื่องเสือโคคำฉันท์นี้
๓.สมุทรโฆษคำฉันท์
ผู้แต่ง พระมหาราชครู สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ประวัติ สมุทรโฆษคำฉันท์เกิดขึ้นโดยพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับสั่งให้พระมหาราชครูแต่งขึ้นเพื่อใช้เล่นหนังใหญ่ ในคราวเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษาครบเบญจเพส เมื่อ พ.ศ.๒๐๙๙ พระมหาราชครูแต่งไม่ทันจบก็ถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน แต่งไกได้เพียง "พระเสด็จด้วยน้อง ลิลาศ ลุอาศรมอาส นเทพบุตรอันบล"เป็นตอนพระสมุทรโฆษ และนางพินทุมดีเสด็จไปแก้บนพระนานายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ต่อมาก็ไม่จบอีก ทรงเริ่มต้นตั้งแต่ "พิศพระกุฏีอา ศรมสถานตระการกล"และยุติลงเพียง "ตนกูตายก็จะตายผู้เดี่ยวใครจะดูแล โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็น "ซึ่งเป็นคำคร่ำครวญของพิทยธรชื่อรณาภิมุข ที่บาดเจ็บเพราะถูกอาวุธของพิทธยาชื่อรณบุตร เรื่องนี้จึงค้างอยู่อีกครั้งหนึ้ง ส่วนในตอนจบเป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯทรงนิพนธ์เสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๓ ตามคำอาราธนาของกรมหลวสงไกสรวิชิต และกรมหลวงวงศาธิราชสนิทเริ่มตั้งแต่ "พิทยาธรทุกข์ลำเค็ญ ครวญคร่ำร่ำเข็ญ บรู้กี่ส่ำแสนศัลย์
ทำนองแต่ง แต่งด้วยกาพย์และฉันท์ ตอนจบเป็นโคลงสี่สุภาพ ๔ บท
ความมุ่งหมาย พระราชประสงค์เดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่รับสั่งให้แต่งเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์เพื่อใช้เล่นหนัง เมื่อครั้งฉลองพระชนมายุครบเบญจเพสการที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ก็เพราะทรงเสียดายที่หนังสือซึ่งเริ่มต้นแต่งไว้ดีแล้วต้องค้างอยู่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแต่งไว้ให้จบก็เพราะเหตุผลที่ว่า " โดยมุมานะหฤทัย อดสูดูไขษย กวีฤาแล้งแหล่งสยาม"
เรื่องย่อ พระพุทธเจ้าเสวยพระราชเป็นพระสมุทรโฆษ โอรสท้าวพินทุทัต กับนางเทพธิดาแห่งเมืองพรหมบุรี มีพระชายาทรงพระนามว่า นางสุรสุดา พระสมุทรโฆษตรัสลาพระบิดาพรพระมารดาและพระชายาเสด็จประพาสป่าเพื่อคล้องช้าง ขณะพระสมุทรโฆษประทับที่ต้นโพธิ์ ได้ตรัสสดุดีและขอพรเทพารักษ์ แล้วบรรทมหลับไป เทพรารักษ์ทรงพระเมตตาพาไปอุ้มสมนางพินทุมดี พระราชธิดาท้าวสีหนรคุปต์กับนางกนกพดี แห่งรมยบุรี จวนสว่างจึงทรงนำกลับมาไว้ที่เดิม พระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดีทรงครวฯถึงกัน พอดีท้าวสีหนครุปต์ ทรงประกาศพิธีสยุมพรนางพิมทุมดี พระสมุทรโฆษจึงเสด็จเข้าเมืองรมยบุรี พระสมุทรโฆษทรงประลองศรมีชัยในพิธีสยุพร ได้อภิเษกสมรสกับนางพิมทุมดี
วันหนึ่งพระสมุทรโฆษเสด็จประพาสสวน ทรงเมตตาพยาบาลรณาภิมุขซึ่งถูกรณบุตรพิทยาธรอีกตนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บเพราะแย่งนางนารีผลกัน และถูกชิงนางไป รณาภิมูขถวายพระขรรค์วิเศษเป็นการตอบแทน พระสมุทรโฆษทรงใช้พระขรรค์นั้นพานางทิมทุมดีเหาะเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ ต่อมาพิทยาธรอีกตนหนึ่งลักพระขรรค์ไป พระสมุทรโฆษทรงพานางเสโจประพาสโดยพระบาทกลับเมือง ทรงข้ามแม่น้ำใหญ่โดยเกาะขอนไม้และเกิดพังกลางแม่น้ำ นางพิมทุมดีทรงขึ้นฝั่งได้ นางมณีเมฆขลาและพระอินทร์ช่วยให้พระสมุทรโฆษขึ้นฝั่งและให้พิทยาธรนำพระขรรค์วิเศษมาคืน พระสมุทรโฆษทรงตามหานางพิมทุมดีจนพบ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จกลับเมือง และได้รับเวนราชสมบัติ สมุทรโฆษคำฉันท์ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ ว่า เป็นยอดแห่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ทั้งนี้นอกจากความไพเราะเพราะพริ้งของฉันท์แต่ละบทแล้ว ยังประกอบด้วยรสวรรณคดีครบถ้วน เช่น บทโคลงลานาง บทรำพันสวาท บาสังวาส บทรบ บทโศก บทชมบ้านเมือง บทชมธรรมชาติ บทชมกระบวนทัพ และแทรกคติธรรมไว้ด้วย เช่น ความรักอันมั่งคง ความเมตตากรุณา และความเพียร เป็นต้น สมุทรโฆษคำฉันท์มีประวัติความเป็นมาน่าอัศจรรย์นัก ที่ต้องใช้กวีแต่งต่อเนื่องกัน ๓ ท่าน และใช้เวลาถึง ๓ แผ่นดิน คือ ตั้งแต่ กรุงศรีอยุธยา มาเสร็จลงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กวีทั้งสามไม่ได้ร่วมแต่งพร้อมกัน แต่งต่อช่วงกัน แต่สามารถรักษาระดับรสกวีนิพนธ์ไว้เท่าเทียนและกลมกลืนกันไว้สนิท สมุทรโฆษคำฉันท์ดำเนินเรื่องตามสมุทรโฆษชาดก ซึ่งเป็นชาดกทางพุทธศาสนาเรื่องหนึ่ง ในปัญญาสชาดก(ชาดก ๕๐ เรื่อง )ตอนที่พระมหาราชครู และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงแต่งมีเรื่องแทรกผิดแผกไปจากชาดกบ้าง เช่น กำหนดให้พระสมุทรโฆษมีชายา คือ นางสุรสุดาอยู่ก่อนจึงไปหานางพิมทุมดี บทอุ้มสม และสงครามชิงนางพิมทุมดี เหตุการณ์กล่าวไม่ปรากฏในชาดก ส่วนที่สมเด็จพระมาสมณเจ้าฯทรงนิพนธ์เป็นไปตามชาดกอย่างใกล้ชิดในด้านภาษาเป็นที่เป็นของพระมหาสมณเจ้าฯ ใช้คำบาลีมากว่าคำสันสกฤต วรรณคดีเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าเล่นหนังใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่จำกัดต้องเล่นเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์อย่างสมัยต่อมานอกจากนี้ก่อนเริ่มเรื่องหนัง ยังมีการเล่นเป็นโรงต่างๆเช่นหัวล้านชนกัน
๔.โคลงพาลีสอนน้อง
ผู้แต่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ทำนองแต่ง ใช้โคลงสี่สุภาพ มีโคลงทั้งหมด ๓๒ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เรื่องรามเกียรติ์เปรียบเทียบในการอบรมสั่งสอนข้าราชการ
เรื่องย่อ เริ่มเรื่องว่า พาลีเจ้าเมืองขีดเขิน เมื่อใกล้จะถึงความตายด้วยศรของพระราม เกิดสำนึกผิดในความประพฤติที่แล้วมาของตน ได้เรียกสุครีพน้องร่วมมารดาและองคตลูกชายมาสั่งสอนข้อปฏิบัติในการที่จะรับราชการอยู่กับพระรามโคลงพาลีสอนน้อง แสดงค่านิยมของสังคมไทยในเวลานั้น และแสดงอิทธิพลของเรื่องรามยณธหรือรามเกียรติ์ที่มีต่อสังคมไทยอีกด้วย
๕.โคลงทศรถสอนพระราม
ผู้แต่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทำนองแต่ง โคลง สี่สุภาพ
เรื่องย่อ เริ่มต้นกล่าวถึง ท้าวทศรถตรัสเรียกพระรามมาพระราชทานโอวาท เมื่อจะทรงมอบบ้านเมืองให้ครอง มีสาระสำคัญเกี่ยวเมตตา กรุณา อกุศลมูล ได้แก่ โทสะ โมหะ โลภะ อวิหิงสา และขันติ เป็นต้นโคลงทศรถสอนพระรามใช้คำศัพท์และโวหารใหม่กว่าวรรณคดี ซึ่งแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่นเดียวกับโคลงพาลีสอนน้อง โคลงเรื่องนี้แสดงให้เห็นความนิยมเรื่องรามเกียรติ์เหมือนโคลงพาลีสอนน้อง
๖.โคลงราชสวัสดิ์
ผู้แต่ง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ทำนองแต่ง เป็นโคลงสี่สุภาพ มีทั้งหมด ๖๓ บท
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติตนของข้าราชการผู้ใหญ่
เรื่องย่อ มีใจความสอนข้อปฏิบัติแก่ข้าราชการโคลงราชสวัสดิ์มีเนื้อความคล้ายกับโคลงพาลีสอนน้อง แต่ละเอียดพิสดาร มีส่วนดีในด้านคติธรรม สอนความประพฤติ
๗.จินดามณี
ผู้แต่ง พระโหราธบดี รับราชการในหน้าที่โหรหลวงอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ตำนานศรีปราชญ์ที่พระนาปริยัติธรรมธาดา แต่งกล่าวพระโหราธิบดีเป็นบิดาของศรีปราชญ์ สันนิษฐานว่าอาจถึงกรรมก่อน พ.ศ.๒๒๒๓ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชรับสั่งให้รวบรวมชำระกฎหมายเหตุ ซึ่งท่านแต่งไว้เข้ากับฉบับอื่น ๆ เรียกชื่อต่อมาว่า "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ"
ประวัติ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพวกมิชชั่นนารีฝรั่งกำลังเข้าเผยแพร่ศาสนาคริสต์และวิชาการอย่างฝั่งจนถึงการตั้งโรงเรียนสอนเด็กไทย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเกรงว่าคนไทยจะหันไปนิยมอย่างฝรั่ง จึงรับสั่งให้พระโหราธิบดีแต่งจินดามณีขึ้นเพื่อจะสอนคนไทยมีแบบเรียนเป็นของตนเอง และรู้วิชาอย่างไทย ๆ ไม่หันแหไปฝักใฝ่ข้างฝรั่ง
ทำนองแต่ง แต่งเป็นร้อยแก้ว บางตอนเป็นคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ
ความมุ่งหมาย เพื่อใช้เป็นแบบเรียนอ่านให้มีความรู้ทางหลักภาษาแลการแต่งคำประพันธ์
เรื่องย่อ ต้อนต้นกล่าวถึงคำและข้อความสำหรับอ่าน เป็นความรู้ทางหลักภาษา ตอนท้ายเป็นกฎเกณฑ์การแต่งคำประพันธ์ และตัวอย่างคำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ
ตัวอย่างข้อความบางตอน
การแต่งฉันท์
หมู่ใดในคณะ เป็นคู่อย่าละ กาพย์โคลงโวหาร
บทฉันทใดฉงน สืบถามอย่านาน จู่ลู่ใช่การ ลิกขิตเกี้ยวพันธ์
บทหนึ่งวสันตดิลก คู่ฉันทโตฎก กาพย์มังกรพันธ์
บทอินทรวิเชียร คู่อาริยฉันท ผูกไว้ทุกสรรพ์ ทุกพรรรณเกี้ยวการณ์
การแต่งโคลง
อนึ่งเมื่อจทำโคลงสิ่งใดที่ให้เอาคติโคลงนั้น มาเทียบด้วยฉันท์ ให้รู้จักพากยทังหลาย คือ ตลุมพุธพากย กำภุพากย์ สยามพากย สิงหลพากย ภุกามพากย หริภุญไชยพากย ตเลงพากย มคธพากย ได้เอาศัพท์ทังหลายนี้ประกอบประโหยกหน้า หลัง จึงตั้งให้อยู่ภาวรเป็นประถมบท ทวิบทตฤติยบท ในบทนั้นทรงตั้ง ในอยู่ สถารอักษรนั้น
จินดามณีเป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก สำนวนภาษาที่เข้าใจได้ยาก มีคำอธิบายเพียงสั้น ๆ แต่ก็นับว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาภาษาไทยเป็นเวลาช้านาน ได้ใช้เป็นหนังสือเรียนมาจนถึงต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงแม้ต่อมาจะมีแบบเรียนเรื่อง ๆ เกิดขึ้น เช่น จินดามร๊สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จินดามณีของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท ในรัชการที่ ๓ และมูลบทบรรพกิจในรัชการที่ ๕ ล้วนได้แนวคิดในการแต่งไปจากจินดามณีของพระโหราธิปดีทั้งสิ้น ภาคที่ว่าด้วยฉันท์ลักษณ์ ได้ยกตัวอย่างมาจากวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันมาก่อน ทำให้ทราบอายุของวรรณคดีเรื่องนั้น ๆ ว่าแต่งก่อนจินดามณี เช่น ยกกาพย์ยานีมาจากมหาชาติคำหลวง แต่ใช้แตกต่างกันไปบ้าง ดังนี้
จินดามณี
ครั้นเช้าก็หิ้วเช้า ชายป่าเต้าไปตามชาย
ลูกไม้จึ่งครันงาย จำงายราชอดยืน
เปนใดจึงมาค่ำ อยู่จรหล่ำต่อกลางคืน
เห็นกูนี้โหดหืน มาดูแคลนนี้เพื่อใด
มหาชาติคำหลวง
คร้นนเช้ากหืวกนนเช้า ชายป่าเต้าไปหาชาย
ลูกไม้บทนนงาย จำงายราชอดยืน เเม่ฮา
คิดใดคืนมาค่ำ อยู่จรหล่ำต่อกลางคืน
เพราะเห็นกูดหดหืน เเลดูเเคลนกูกลใด ด่งงนี้
เเละยกโคลงจากลิลิตพระลอมาประกอบคำอธิบายการเเต่งโคลงสี่สุภาพ คือ
เสียงฦาเสีองเล่าอ้าง อันใดพี่เอย
เสีองย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตืนฦาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ
๘.พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา(ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ)
ผู้แต่ง พระโหราธิบดี
ประวัติ พระยาปริยัติธรรมธาดา(แพตาละลักษณ์)เมื่อครั้งเป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติได้ต้น
ฉบับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เป็นสมุดไทยตัวเขียนเก่ากึงสมัยกรุงศรีอยุธยา มาจากบ้านราษฏรแห่งหนึ่งที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ ได้นำขึ้นถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ จึงทรงเรียกพงศาวดารนี้ว่า "พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ"เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ไปพบ พงศาวดารฉบับนี้เรียบเรียง เมื่อ จ.ศ.๑๐๔๒ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทำนองแต่ง แต่งเป็นร้อยแก้ว ลำดับศักราชและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคลายบันทึกโหร
ความมุ่งหมาย เรียบเรียงโดยพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพื่อรวบรวมจดหมายเหตุในที่ต่างๆและพระราชพงศาวดารเข้าด้วยกันตามลำดับศักราช เรื่องย่อ เริ่มต้นเป็นบานแผนก บอกปีที่เรียบเรียง ผู้รับสั่งให้เรียบเรียง ตลอดจนความมุ่งหมายแล้วกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ "จ.ศ. ๖๘๖ ชวดศก แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าพแนงเชิง" ซึ่งเป็นปีที่สร้างพระพุทธรูปวัดพนัญเชิง จนถึงจ.ศ.๙๖๕๖ มะโรงศกวันเสด็จพยุหยาตรา จากป่าโมก โดยทางชลมารค และฟันไม่ข่มนามตำบลเอกราช ตั้งทัพไชยตำลบพระหล่อ วันนั้นเป็นวันอนุและเป็นวันสงกรานต์ พระเสาร์ไปราศีธนูอนองษาหนึ่ง ครั้งนั้นเสด็จพระราชดำเนินถึงเมืองหลวงตำลบทุ่งแก้ว ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จพระนเรศรวมหาราชทรงยกทัพไปตีพม่าและสวรรคตทีเมืองห้างพลาง
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๒๗๕-พ.ศ. ๒๓๑๐)
กวีและวรรณคดีสำคัญสมัยอยุธยาตอนปลาย
๑. พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ งานที่ทรงพระราชนิพนธ์ คือ
- โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์
๒. เจ้าฟ้าอภัย งานที่ทรงนิพนธ์ คือ
- โคลงนิราศ
๓. เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร งานที่ทรงนิพนธ์ คือ
- นันโทปนันทสูตรคำหลวง
- พระมาลัยคำหลวง
- กาพย์เห่เรือ
- กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
- กาพย์ห่อโคลงนิราศ
- บทเห่เรื่องกากี เห่สังวาส เห่ครวญ และเพลงยาว
๔. เจ้าฟ้ากุณฑล งานที่ทรงนิพนธ์ คือ
- ดาหลัง (อิเหนาใหญ่)
๕. เจ้าฟ้ามงกุฎ งานที่ทรงนิพนธ์ คือ
- อิเหนา (อิเหนาเล็ก)
๖. พระมหานาควัดท่าทราย งานที่แต่ง คือ
- ปุณโณวาทคำฉันท์
- โคลงนิราศพระบาท
๗. หลวงศรีปรีชา (เซ่ง) งานที่แต่ง คือ
- กลบทสิริวิบุลกิติ
เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาเริ่มระส่ำระสาย เนื่องจากการชิง
ราชสมบัติ เกิดกบฏและเกิดสงครามกับนครศรีธรรมราชและกัมพูชาจึงทำให้วรรณคดีชะงักงันเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษต่อมาได้มีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นระยะหนึ่งเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ครองครองราชย์สมบัติทั้งนี้เพราะพระมหากษัตริย์พระองค์นี้เอาพระทัยใส่ในการศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตรเป็นพิเศษผู้ถวายตัวเข้ารับราชกาลจะต้องมีวิชาความรู้ชั้นสามัญและบวชเรียนในพระพุทธศาสนามาก่อนทรงสนับสนุนงานวรรณคดีอย่างจริงจัง รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งมีเวลา ๒๖ ปี มีความเจริญทางวรรณคดีเท่าเทียมกันกับยุคทองของวรรณคดี กวีมีทั้งบรรพชิตและฆราวาสชายและหญิงเจ้านายและสามัญชน
วรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น
1.ลิลิตโองการแช่งน้ำ
ลิลิตโองการแช่งน้ำ,โองการแช่งน้ำ, ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า หรือ โองการแช่งน้ำพระพิพัฒนสัตยา ทั้งหมดนี้ คือวรรณคดีเล่มเดียวกัน ซึ่งเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ของไทย เชื่อว่าน่าจะแต่งวรรณคดีในสมัย พระเจ้าอู่ทอง วรรณกรรมเรื่องนี้แต่งขึ้นด้วย โคลงห้า คือ บาทหนึ่ง มี 5 วรรค เป็นวรรคหน้า 3 คำ วรรคหลัง 2 คำ หนึ่งบทมี 4 บาท นิยมใช้ เอกสี่ โทสาม แต่สามารถเพิ่มสร้อยหน้า และสร้อยหลังบาทได้ และยังมีร่ายสลับ เราจึงเรียกกันว่า “ลิลิต” ในการแต่งวรรณกรรมเรื่องนี้มีการผสมผสานระหว่างคำศัพท์บาลีและสันสกฤต นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์โบราณไทยและมีการใช้สำนวนภาษาลักษณะการแช่งอีกด้วยเนื้อหาในลิลิตโองการแช่งน้ำอาจแบ่งได้5ส่วนด้วยกันดันี้
1. สดุดีเทพเจ้าทั้งสามพระองค์ คือ พระนารายณ์, พระศิวะ, พระพรหม เป็นร่ายสามบทสั้นๆ
2. กล่าวถึงกำเนิดโลก และ สังคมมนุษย์ อัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธ์ ภูตผีปีศาจต่างๆมาเป็นพยาน
3. คำสาปแช่งผู้ทรยศให้ประสบภยันตรายนานา
4. คำอวยพรแก่ผู้จงรักภักดี
5. ถวายพระพรพระเจ้าแผ่นดิน
2. ลิลิตพระลอ
ลิลิตพระลอ เป็นลิลิตโศกนาฏกรรทความรัก ที่แต่งขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแต่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชการแต่งลิลิตพระลอเป็นการแต่งแบบลิลิตสุภาพ ประกอบด้วย ร่ายสุภาพ, ร่ายสอดสร้อย, โคลงสองสุภาพ, โลงสามสุภาพ และโคลงสี่สุภาพ สลับกันต่างจังหวะลีลา และเนื้อหาของเรื่อง โดยมีเนื้อหาดังนี้ ลิลิตพระลอเป็นเรื่องรักโศก บรรยายความรักระหว่างพระลอกับ นางเอกสองคน คือ พระเพื่อน และ พระแพง นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความรักของพี่เลี้ยงของพระเพื่อนและพระแพงอีกด้วย
3.มหาชาติคำหลวง
มหาชาติคำหลวง เรื่องเวสสันดรชาดก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแปลแต่งที่เมืองพิษณุโลกเมื่อแต่งเสร็จแล้วก็โปรดให้นำมา อ่านตรวจทานแก้ไขและคิดทำนองสวดอย่างวิจิตรพิสดาร มหาชาติคำหลวงนี้ไม่ใช้พระเทศน์แต่ให้เจ้าหน้าที่ กรมธรรมการ สวดถวายให้พระมหากษัตริย์ทรงฟังทุกวันในช่วงวันเข้าพรรษาในวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ โดยมีทั้งหมด 13 กัณฑ์ โดยงสวดของแต่ละกัณฑ์ มีเม็ดพรายในการสวดก็แตกต่างกันไปทั้งหลบเสียง เอื้อนเสียง
วรรณคดีไทยแบ่งสมัยการแต่งได้ดังนี้
๑. วรรณคดีสมัยสุโขทัย (พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๒๐)
๒. วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๐๗๒)
๓. วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง (ยุคทองของวรรณคดี) พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๒๓๑
๔. วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย พ.ศ. ๒๒๙๕-๒๓๑๐
๕. วรรณคดีสมัยธนบุรี พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕
๖. วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕-ปัจจุบัน
เนื่องจากการแต่งวรรณคดี มักจะมีส่วนสัมพันธ์กัน ประวัติศาสตร์และสภาพสังคมในยุคสมัยนั้นๆเพราะฉะนั้นการอ่านวรรณคดีให้ได้คุณค่าอย่างแท้จริงจำเป็นจะต้องเรียนประวัติวรรณคดีประกอบด้วย ซึ่งต้องพิจารณาถึงประเด็นสำคัญของวรรณคดี ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
๑. ผู้แต่ง รวมถึงชีวประวัติและผลงานสำคัญ
๒. ที่มาของเรื่อง ได้แก่ เรื่องที่เป็นต้นเค้า อาจจะได้รับอิทธิพลภายในประเทศ หรือที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ
๓. ความมุ่งหมายที่แต่งได้แก่ความบันดาลใจ หรือความมุ่งหมายของผู้แต่ง ในการแต่งวรรณคดี
๔. วิวัฒนาการและความสัมพันธ์ต่อเนื่องระหว่างวรรณคดีแต่ละสมัย
๕. สภาพสังคมในสมัยที่แต่ง ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรม สภาพสังคม และเหตุการณ์ของบ้านเมืองในระยะเวลาที่แต่ง
๖. อิทธิพลที่วรรณคดีมีต่อสังคมทั้งในสมัยที่แต่งและในสมัยต่อมาดร.สิทธา พินิจภูวดลได้กล่าวไว้ในหนังสือความรู้ทั่วไปทางวรรณกรรมไทย ถึงเรื่องการศึกษาวรรณคดีในแนวประวัติ มีดังนี้
๑. เพื่อให้ทราบต้นกำเนิดของวรรณคดีว่า วรรณคดีแต่ละเล่มเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดในสมัยใด และวรรณคดีอื่น ๆ ในสมัยนั้นมีลักษณะที่เกิดขึ้นมาอย่างเดียวกันหรือไม่
๒.เพื่อให้ทราบวิวัฒนาการของสติปัญญาของชาติ พลังปัญญาของบุคคลในชาติ จะแสดงออกมาในรูปของศิลปกรรมประเภทต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งวรรณกรรมด้วย คนจะแสดงพลังปัญญาในการนำเรื่องราวทางการเมือง การทหาร การรบพุ่งปราบปรามศัตรู และอื่น ๆ มาเรียบเรียงร้อยกรองเป็นบทเพลงหรือบทประพันธ์ แทนการเล่าเรื่องอย่างธรรมดา ๆ คนที่มีความสามารถจะหาทางออกในแนวแปลกงดงามและมีผลดี วรรณคดีที่มีแนวต่าง ๆ กันเป็นผลของการแสดงพลังปัญญาของบุคคลในชาติ
๓. เพื่อให้รู้จักเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดี วรรณคดีเป็นผลงานกวี กวีในแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกัน มีแนวคิดต่างกัน มีเหตุการณ์ในยุคสมัยของตนแตกต่างกันไปด้วย เช่น คนไทยในยุคสุโขทัยระยะหลังได้รับความร่วมเย็นเป็นสุขอย่างเต็มที่เอาใจใส่ในศาสนาและวรรณกรรม ศิลาจารึกในยุคนั้นจึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนามาก เหตุการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองหรือในสังคมย่อมสัมพันธ์กับเรื่องราวในวรรณคดี การศึกษาประวัติวรรณคดี จะทำให้เข้าใจ ตัววรรณคดี ชัดเจนยิ่งขึ้น และเข้าใจกวีว่าเหตุใดจึงแต่งวรรณคดีชนิดนั้น เช่น เหตุใดวรรณกรรมไทยในยุคปลายสุโขทัย จึงเป็นแต่ประเภทวรรณกรรมศาสนาเท่านั้น เป็นต้น
๔. เพื่อให้รู้จักผู้แต่งวรรณคดี ว่ากวีคือใคร มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร อะไรเป็นเหตุทำให้เขาแต่งเรื่องเช่นนั้น เช่น เราต้องการทราบประวัติชีวิตของสุนทรภู่ พยายามสืบค้นว่าสุนทรภู่มีบิดามารดา ชื่ออะไร อาชีพอะไรเกิดที่เมืองไหนครอบครัวของสุนทรภู่มีใครบ้าง อะไรทำให้สุนทรภู่เขียนลงไปว่า อนิจจาตัวเราก็เท่านี้ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย……สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ผู้ศึกษาวรรณคดีรู้จักวรรณคดีลึกซึ้งขึ้นทั้งสิ้น ในบางยุคสมัยผู้แต่งวรรณคดีจะเป็นคนในราชสำนักเป็นส่วนมากดังที่ปรากฏอยู่ในยุคสุโขทัยเรื่อยลงมาจนถึงอยุธยาและต่อมาจนถึงยุคต้นรัตนโกสินทร์ประวัติวรรณคดีจะทำให้เราเข้าใจแนวสร้างวรรณคดีของเรา
...............................
อ้างอิง
http://www.nuanphun.com/no102.html
http://www.webindex.sanook.com/topwords
http://www. siwonez.exteen.com/20071211/entry
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น