๑۩۞۩๑ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บบล๊อกของผมครับ ๑۩۞۩๑

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คาดอีก 10 ปี ข้างหน้า กรุงเทพอาจเป็นมหานครใต้น้ำ

นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ ฟันธง!คาด 10 ปี ข้างหน้า กรุงเทพฯเป็นมหานครใต้น้ำ
ทุก 25 ปีจะเกิดฝนตกหนัก และจะทำให้กรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ หลายสถาบันในประเทศและต่างประเทศวิจัยตรงกันว่า กรุงเทพฯจะประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2563 นับจากฐานปี 2538...
เมื่อวันที่ 5 ต.ค.2553 คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ได้จัดสัมมนา เรื่อง กรุงเทพใต้น้ำ โดยระดมนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง มาร่วมเสวนา ซึ่งส่วนใหญ่ต่างกล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า กรุงเทพฯมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำท่วมใหญ่และจมอยู่ใต้น้ำในปี 2563
การประเมินของนักวิชาการสอดคล้องกับผลการวิจัยของเวิลด์วอทช์ และองค์การสหประชาชาติ รวมทั้งอีกหลายสถาบันทั่วโลกที่ ผลวิจัยรายงานตรงกันว่า เมืองที่มีที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทั่วโลก กำลังเผชิญกับอันตรายจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และพิบัติภัยอี่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยพบว่าเมืองชายฝั่ง 21 แห่งจากทั้งหมด 33 แห่งที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนประชากร 8 ล้านคนในปี 2558 มีโอกาสสูงมากที่จะถูกน้ำท่วม และหนึ่งในเมืองที่มีความเสี่ยงคือ กรุงเทพฯ
นอก จากนี้ข้อมูลของหน่วยงานส่วนราชการ ภาคเอกชน และนักวิชาการของประเทศไทย ยังรายงานผลการวิเคราะห์ว่า 10 ปีข้างหน้า น้ำจะท่วม 9 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ประกอบด้วย 1.เมืองโกลกาตา 2.เมืองมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย 3.เมืองดักกา สาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ  4.มณฑลกวางสี 5.เมืองเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน 6.นครโฮจิมินห์ 7.เมืองไฮฟอง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 8.เมืองย่างกุ้ง สหภาพพม่า และ 9.กรุงเทพฯ

ทุก 25 ปีจะเกิดฝนตกหนัก และจะทำให้กรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมใหญ่ หลายสถาบันในประเทศและต่างประเทศวิจัยตรงกันว่า กรุงเทพฯจะประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในปี 2563 นับจากฐานปี 2538” รศ.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธรกล่าว
รศ.เสรี ระบุอีกว่า ความเสี่ยงของกรุงเทพฯที่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คือ
1.ฝน ตกหนักที่เรียกว่าฝน 10 ปี หรือ 10 ปีเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง โดยมีปริมาณน้ำฝนที่ตกและจำนวนวันที่ฝนตกเพิ่มขึ้น กลายเป็นปัจจุบันฝนรอบ 10 ปีในอดีต เกิดขึ้นทุก ๆ 2-3 ปี
2.ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี เท่ากับทำให้ชายฝั่งหายไปไม่ต่ำกว่าปีละ 5 เมตร
3.อุณหภูมิสูงขึ้น
4.แผ่นดินทรุด และ
5.ปัญหาผังเมือง ส่งผลให้ในที่สุดแล้ว พื้นที่ริมน้ำในบริเวณ 5-10 กิโลเมตรจากชายฝั่งจะมีปัญหาแน่นอน
พื้นที่ ที่จะมีปัญหาแน่ ๆ คือ บางบอน จอมทอง แสมดำ บางขุนเทียน บางนา-ตราดบางส่วน และพื้นที่กรุงเทพฯชั้นในหรือที่เรียกว่าพื้นที่กระเพาะหมู บางนา บางกะปิ ห้วยขวางและพระโขนงรศ.เสรีกล่าว
ด้านนาย สุรจิต ชิรเวทย์ สมาชิกวุฒิสภา ใน ฐานะ ประธานคณะอนุกรรมาธิการทรัพยากรน้ำ รัฐสภา กล่าวว่า ต้องสร้างเครือข่ายน้ำแนวนอน เพื่อให้การกระจายตัวของน้ำทำได้รวดเร็วและสอดคล้องกับธรรมชาติของน้ำให้มาก ที่สุด
ขณะที่นาย สมิทธ ธรรมสโรช ประธาน กรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวว่า กรุงเทพฯจะเกิดภาวะน้ำท่วมขังไปทุกปี และในที่สุดจะเป็นภาวะน้ำท่วมขังถาวร นำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล ตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวที่มากรุงเทพฯไม่ต่ำกว่าหลายแสนคนต่อปี จะหายวับ
ผม มีความเชื่อว่า กรุงเทพฯมีโอกาสมาก ที่น้ำจะท่วมขังถาวรในเร็วๆนี้ สิ่งที่ต้องทำคือมาตรการป้องกัน และการทบทวนแผนการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ทุกโครงการ
พระ บรมหาราชวัง พระที่นั่งสำคัญ ๆ หรือวัดพระแก้ว อันเป็นโบราณสถาน เปราะบางที่สุด เนื่องจากการก่อสร้างสมัยโบราณไม่ได้เจาะเสาเข็ม หากใช้วิธีขัดเสา เมื่อถูกน้ำท่วมก็จะเสียหายและพังทลายในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นคือความสูญเสียจากการตัดสินใจเชิงนโยบาย ได้แก่การก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างสูงเป็นหมื่นล้าน และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน หลายเส้นทาง แต่ละเส้นทางใช้เงินก่อสร้างเป็นแสนล้านบาท ทั้งหมดจะสูญเปล่าทันทีที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ
ด้านนาย อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ อำนวยการศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่า กรุงเทพฯจะเป็นมหานครใต้น้ำในวันหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังมีเวลา โดย 3-4 ปีจากนี้ จะต้องระดมนักวิชาการเพื่อช่วยกันคิดและแสวงหาหนทางออก
“3-4 ปีหน้า บทบาทจะอยู่ที่นักวิชาการ ซึ่งต้องเชื่อมโยงองค์ความรู้ของทุกภาคส่วน สร้างความชัดเจนด้วยวิธีการที่หลากหลายว่าเราจะเอายังไงกันดี สรุปรวบยอดทุกวิธีแล้วให้ประชาชนตัดสินใจดร.อานนท์กล่าว
ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า ขอตำหนิหน่วยงานราชการที่ไม่ดึงประชาชนในแต่ละพื้นที่เข้ามีส่วนร่วมในการ วางแผนรับมือกับปัญหาต่างๆ ทั้งที่ภาคประชาชนรับทราบข้อมูลดีกว่าหน่วยราชการ  ขณะนี้โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดจากการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้กรุงเทพเกิดน้ำท่วมได้ง่ายเพราะมีการเอาทรายและดินไปถมพื้นที่ทางน้ำ ผ่านของกรุงเทพฯ จึงอยากให้รัฐบาลตระหนักถึงความเสียหายและผลกระทบที่จะตามมาจากการก่อสร้าง โครงการขนาดใหญ่  ตราบใดที่ปล่อยให้อำนาจรัฐเดินไปตามวิถีของนักการเมืองก็คงไม่สามารถจะแก้ไข ปัญหาอะไรได้ สิ่งที่ต้องคิดด้วยคืออัตราเร่งของปัญหาน้ำท่วมจะมาในเร็ววัน ปัญหานี้ถือเป็นปัญหาระดับชาติ คีย์เวิร์ดที่จะนำทุกคนไปสู่อนาคตที่พ้นจากใต้ท้องน้ำ คือการคิดนอกกรอบ วิธีทั้งหมดที่อาจต้องเร่งนำมาใช้ก่อนที่กรุงเทพฯจะวิกฤตไปกว่านี้
เตือนย้ายเมืองหลวงภายใน 7 ปี
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เตือนย้ายเมืองหลวงภายใน 7 ปี
นำมาเสนอมิได้มีเจตนาสร้างความตื่นกลัวแก่ท่าน เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดเป็นจริงอย่างที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ  เค้าว่า......กรุงเทพฯจะเป็นเมืองใต้น้ำ ถามว่า........แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร)

2 ความคิดเห็น:

  1. ขึ้นเครื่องบิน มั่งครับ 555

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ20 ธันวาคม 2553 เวลา 10:23

    คนกทม ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เห็นๆอยู่ภัยกำลังจะมายังนิ่งเฉย สังสัยตั้งหน้าตั้งตารอรับกรรมถึงได้หูนวกตาบอด ใครคิดได้ก่อนเตรียมออกต่างจังหวัดด่วนๆๆๆๆ

    ตอบลบ